เทคนิค
ผมได้ยินเรื่องที่เจ้าของรถหลายๆ ท่านมักบ่นให้ฟังบ่อยๆ เกี่ยวกับรถยนต์ในครอบครองของตนเอง ส่วนใหญ่จะเป็นรถประเภท พีพีวี (PPV) หรือ รถที่ดัดแปลงต่อยอดมาจากรถกระบะนั่นเอง อีกกลุ่มหนึ่งเป็นรถ 4x4 ทั้งแบบ 4 ประตู และแบบแคบ ประเด็นหลักๆ คือ เรื่องของระบบเบรค เนื่องจากเจ้าของรถเหล่านั้นมักบ่นว่า เบรคไม่ค่อยดี ไม่ค่อยอยู่ เกรงว่าจะใช้งานไม่ปลอดภัย
ผมได้ยินเรื่องที่เจ้าของรถหลายๆ ท่านมักบ่นให้ฟังบ่อยๆ เกี่ยวกับรถยนต์ในครอบครองของตนเอง ส่วนใหญ่จะเป็นรถประเภท พีพีวี (PPV) หรือ รถที่ดัดแปลงต่อยอดมาจากรถกระบะนั่นเอง อีกกลุ่มหนึ่งเป็นรถ 4x4 ทั้งแบบ 4 ประตู และแบบแคบ ประเด็นหลักๆ คือ เรื่องของระบบเบรค เนื่องจากเจ้าของรถเหล่านั้นมักบ่นว่า เบรคไม่ค่อยดี ไม่ค่อยอยู่ เกรงว่าจะใช้งานไม่ปลอดภัย
ส่วนบางท่านก็ประสบปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรคมาแล้ว เลยมาขอคำแนะนำในเรื่องการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บางท่านก็ไปดัดแปลงเปลี่ยนระบบเบรคมา แต่ก็ไม่ได้ดั่งใจ เสียเงินหลายหมื่นบาท สุดท้ายต้องมานั่งเปลี่ยนใส่ของเดิมก็มี สิ่งสำคัญกว่านั้น คือ เรื่องของความปลอดภัยที่คาดว่าจะดีขึ้น กลับกลายเป็นว่าไม่แตกต่างจากเดิม หรือแย่กว่าเดิมก็มีให้เห็น
เรื่องระบบเบรคนั้นมันไม่ใช่ของเล่น แค่คิดว่าเปลี่ยนจานเบรคใหญ่ขึ้น หรือเปลี่ยนผ้าเบรคดีๆ แม้แต่เปลี่ยนหม้อลมเบรคลูกใหญ่ๆ เข้าไป มันไม่ได้จบแค่นั้น สำคัญที่สุด คือ ผู้ขับขี่ ซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะต่อให้ระบบเบรคดีขนาดไหน ถ้าคนขับไม่เข้าใจ หรือขับรถไม่ระวัง อันตรายก็เกิดขึ้นได้
หลังเทศกาลปีใหม่ไม่กี่วันได้รับการบ่นจากคนรู้จักว่ารถพีพีวี ยอดนิยมยี่ห้อหนึ่ง เพิ่งซื้อมาไม่ถึง 2 เดือน ขับไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนกับครอบครัวมา ปรากฏว่าบางช่วงเบรคไม่อยู่ กดแล้วแทบไม่ได้รับการตอบสนองจากระบบเลย เขาถึงกับขายรถทิ้ง เพราะพาลไปที่ตัวรถ เนื่องจากรุ่นแรกที่ออกมานั้น มีข่าวเรื่องปัญหาของระบบเบรค ผมเลยลองแย้งไปว่า รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ที่ออกมาใหม่นั้นมีการปรับปรุงระบบเบรคใหม่แล้ว มีความปลอดภัย และมีการตอบสนองดีขึ้นเยอะ เจ้าของรถก็บอกว่าการขับขี่บนถนนราบนั้นไม่มีปัญหา แต่เจอปัญหาเฉพาะเวลาบนเขา ปัญหานี้มองได้ไม่ยากเลยว่าอยู่ที่นิสัยการขับขี่มากกว่า
ผมเองเคยไปทดสอบรถรุ่นนี้บนเส้นทางเชียงราย-เชียงใหม่มาแล้ว รับรู้ได้เลยว่าระบบเบรคมีการปรับปรุงดีขึ้นเยอะ เลยชวนคุย และหลอกสอบถามข้อมูล จับใจความได้ว่าปัญหาเบรคไม่อยู่เกิดจากผู้ขับขี่ชัวร์ๆ
เนื่องจากลักษณะการขับขี่ของเจ้าของรถ เป็นคนขับรถเร็ว และใช้เบรคบ่อยมากเกินเหตุ ในจังหวะลงเขา เมื่อใช้ความเร็วสูงกับการใช้เบรคหนักๆ ไม่นานนักน้ำมันเบรคก็เดือด ทำให้เบรคแล้วไม่มีอาการตอบสนอง หรือไม่ก็ผ้าเบรคร้อนจัดจนเฟด ไม่สามารถจับตัวกับจานเบรคได้อย่างเต็มที่ ประสิทธิภาพในการเบรคก็ลดลงไปมาก หลายครั้งก่อให้เกิดอันตรายอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
สาเหตุเป็นเพราะ 2 เรื่องหลักๆ คือ 1. สมรรถนะของเครื่องยนต์สูง ทำให้อัตราเร่งดี ผู้ขับขี่ยิ่งขับเร็วไปกันใหญ่ สาเหตุที่ 2 คือ เรื่องของน้ำหนักเฉลี่ยของรถกลุ่มนี้ราวๆ 1.9-2.0 ตัน ในจังหวะที่ขับรถลงเนิน เมื่อใช้เบรคๆ จะต้องทำงานหนักมากกว่าเดิม ตามแรงดึงดูดของโลก และการถ่ายเทโมเมนทัมของตัวรถไปที่ด้านหน้า
2 สาเหตุนี้เอง ทำให้เบรคต้องรับภาระหนักมาก ในความเร็ว 80 กม./ชม. บนทางราบ และทางลงเนินนั้น เบรคทำงานแตกต่างกันมาก ในทางลงเนิน เบรคต้องรับภาระเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ยิ่งเส้นทางที่เป็นทางขึ้น/ลงเขาโดยตลอด เบรคจะทำงานหนักมากๆ เมื่อเกินขีดจำกัดของวัสดุ เช่น ผ้าเบรค, จานเบรค หรือแม้แต่น้ำมันเบรคจะทนได้ ก็จะเกิดอาการเบรคไม่อยู่อย่างที่กล่าวมา ดังนั้นทางแก้ไขที่ดีที่สุด คือ การปรับลักษณะการขับขี่เสียใหม่ ใช้ความเร็วให้ต่ำลง รวมถึงการเลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็ว และสภาพเส้นทาง ก็จะสามารถช่วยลดภาระการใช้เบรคได้มาก การขับขี่ในเส้นทางภูเขา ควรลดความเร็วเฉลี่ยลงให้เหมาะสม และใช้เกียร์ให้เหมาะสมด้วย จะสามารถเพิ่มความปลอดภัยในการควบคุมรถได้มาก
ก่อนจะลงลึกกันในเรื่องนี้ มาคุยกันเรื่องพื้นฐานของระบบเบรคก่อนดีกว่า ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น มันเกิดจากอะไรได้บ้าง
นอกจากปัญหาจากตัวผู้ขับขี่เองแล้ว หลายครั้งเราพบว่าตัวรถเองก็มีจุดที่ต้องระวังเช่นกัน โดยเฉพาะรถใช้งานทั่วไป จะไม่เผื่อไว้สำหรับการขับขี่ความเร็วสูงๆ หรือการใช้งานหนักๆ มากนัก เพราะรถลักษณะนี้เน้นการใช้งานทั่วไป อย่างที่กล่าวมา เว้นแต่รถสปอร์ท หรือรถที่ทำความเร็วได้สูงๆ ระบบเบรคจะมีการออกแบบมารองรับเผื่อเอาไว้แล้ว
สำหรับรถใช้งานทั่วไปนั้น ระบบเบรคส่วนใหญ่จะเป็นแบบไฮดรอลิค คือ ใช้น้ำมันไฮดรอลิคเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดแรงดันจากแป้นเหยียบไปยังล้อ ยกเว้นรถใหญ่ๆ อย่างรถบรรทุก หรือรถบัส จะใช้ระบบนิวแมทริค หรือใช้ลมเป็นตัวถ่ายทอดแรงดัน รถใหญ่ๆ เหล่านั้นจะมีถังลมสำหรับเก็บกักลมเอาไว้ เวลาจะเดินทางต้องติดเครื่อง เพื่อสะสมลมไว้ให้พอก่อน ไม่อย่างนั้นระบบเบรคก็จะไม่ทำงาน
การทำงานของระบบเบรคนั้น จะเป็นการทำงานในลักษณะของการเปลี่ยนรูปพลังงาน จากพลังงานกลมาเป็นพลังงานความร้อน คล้ายกับการทำงานของเครื่องยนต์ ที่เปลี่ยนรูปพลังงานความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ มาเป็นพลังงานกลในการขับเคลื่อน การเปลี่ยนรูปแบบพลังงานของระบบเบรคจากพลังงานกลมาเป็นพลังงานความร้อน จะส่งผลตามมาในเรื่องของอายุการใช้งาน และการสึกหรอ
เมื่อลูกสูบมากดผ้าเบรคให้จับกับจานเบรค จะเปลี่ยนรูปพลังงานจากพลังงานกล มาเป็นพลังงานความร้อน อันเนื่องมาจากการสัมผัสกันระหว่างผ้าเบรค กับจานเบรคนั่นเอง ความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ ผู้ออกแบบต้องคำนวณร่วมกับสมรรถนะ และน้ำหนักตัวรถ ให้พอเหมาะ อาจ เผื่อ หรือไม่ก็ขึ้นกับว่าเป็นรถประเภทไหน คุณภาพของน้ำมันเบรคจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้รถนอกเหนือไปจากการใช้งานปกติ
เรามักคุ้นเคยกับเกรดน้ำมันเบรคว่า DOT ซึ่งจะแบ่งเป็น DOT 3 หรือ DOT 4 ก็แล้วแต่ลักษณะการใช้งาน ตัวเลขยิ่งมากยิ่งมีจุดเดือดสูง นั่นหมายความว่า จะทนต่อการใช้งานหนักได้ดี โดยเฉลี่ยแล้วรถทั่วๆ ไปจะใช้น้ำมันเบรค DOT 3 เป็นมาตรฐาน แต่ในรถกลุ่ม พีพีวี หรือ 4x4 ที่เราพูดถึงนั้น มันอาจจะไม่เพียงพอต่อการใช้งาน โดยเฉพาะรถเกียร์อัตโนมัติ ที่เบรคต้องใช้งานมากกว่าปกติ น้ำมันเบรคก็จะมีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ
จุดเดือด (BOILING POINT) ของน้ำมันเบรคเกรด DOT 3 จะต้องมีจุดเดือดสูงกว่า 205 องศาเซลเซียส ส่วนน้ำมันเบรคเกรด DOT 4 จะต้องมีจุดเดือดสูงกว่า 230 องศาเซลเซียส ความร้อนที่เกิดขึ้นที่ผ้าเบรค และจานเบรค มีสูงกว่านั้นเยอะ แต่จะถูกระบายทิ้งไปอย่างรวดเร็วจากลมที่พัดผ่าน แต่ส่วนหนึ่งก็จะถูกถ่ายทอดมายังน้ำมันเบรคด้วย เมื่อพบว่าคุณต้องใช้งานบนเส้นทางสูงชันเป็นประจำ และเป็นคนเท้าหนัก แนะนำว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเบรคให้เป็นเกรดสูงขึ้น รวมถึงผ้าเบรคด้วย เพื่อให้สามารถทนความร้อนสูงจัดที่เกิดขึ้นได้อย่างดี ลดโอกาสน้ำมันเบรคเดือด หรือผ้าเบรคโอเวอร์ฮีท หรือที่เรียกว่า เบรคเฟด นั่นเอง
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับน้ำมันเบรค เมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่ง คือ ความชื้นมักจะเล็ดลอดเข้าไปในระบบได้ เนื่องจากความชื้นบ้านเราสูงมาก เมื่อความชื้นเข้าไปในน้ำมันเบรค จะทำให้จุดเดือดต่ำลง หมายความว่า โอกาสที่น้ำมันเบรคจะเดือดง่ายขึ้น เมื่อน้ำมันเบรคเดือดจะเกิดฟอง และฟองนั้นจะทำให้ เบรคหาย หรือไม่ตอบสนอง หายนะก็อาจจะตามมาได้ ซึ่งเจ้าของรถบางท่านปล่อยปละละเลยในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรค ยิ่งจะทำให้ความชื้นสะสมเข้าไปในระบบมากขึ้น และยังจะทำให้ซีลยางต่างๆ เกิดการกัดกร่อน หรือแข็งกระด้างเร็วกว่าปกติ ก็จะเกิดปัญหารั่วซึมตามมา
ในคู่มือมักระบุว่าควรเปลี่ยนน้ำมันเบรคทุกๆ 2 ปี หรือ 40,000 กม. โดยประมาณ แต่เจ้าของรถหลายท่านพบว่าการเปลี่ยนน้ำมันเบรคทุกปีหลังหมดหน้าฝน ช่วยให้ซีลยางต่างๆ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน โดยเฉพาะรถที่มีระบบ เอบีเอส เมื่อมาถึงตอนนี้ คุณน่าจะทราบแล้วว่าการปรับปรุงที่ตัวรถเพื่อตอบสนองลักษณะการใช้งานของตัวเอง ก็มีส่วนเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น
ประเด็นต่อมา คือ เรื่องของผ้าเบรค จำเป็นต้องเปลี่ยนเมื่อมีลักษณะการใช้งานเช่นนี้ ผ้าเบรคเดิมออกแบบมาสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่การใช้งานแบบเบรคหนักๆ ลงทางชันประจำ ผ้าเบรคเดิมอาจก่อปัญหาได้ง่าย โดยเฉพาะในเส้นทางบางแห่งที่ลาดชันมากๆ การเปลี่ยนผ้าเบรคให้ทนความร้อนได้สูงขึ้นอีกเกรดหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ซึ่งมันจะต้องสอดคล้องกับลักษณะการขับขี่ที่ต้องปรับปรุงตามด้วย
ต่อให้เปลี่ยนผ้าเบรคแพงๆ จานเบรคแพงๆ แต่ลักษณะนิสัยการขับขี่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง มันก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน การปรับปรุงเพื่อการใช้งานที่หนักขึ้นกว่าเดิม บวกกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ร่วมด้วยแล้วก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนจานเบรคหน้า, เปลี่ยนหม้อลมเบรค หรือดัดแปลงดุมเบรคหลังให้เป็นจานเบรคเลยแม้แต่น้อย เพราะการดัดแปลงดังกล่าวนั้นอาจจะดี ไม่ก็เป็นตรงกันข้ามไปเลย หลายคนยอมเสียเงินหลายหมื่นบาทในการดัดแปลง แต่สุดท้ายผลที่ออกมานั้นไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ นั่นเป็นเพราะการดัดแปลง ต้องมีการคำนวณให้ถี่ถ้วน แล้วจึงออกแบบชิ้นส่วนมาสับเปลี่ยน ไม่ใช่การนำของรถรุ่นนั้นรุ่นนี้มาดัดแปลงใส่เพราะคาดว่าจะดีขึ้นเท่านั้น
การปรับเปลี่ยนเพียงน้ำมันเบรคกับผ้าเบรคดีๆ สักชุด ก็เพียงพอแล้ว สิ่งสำคัญเหนือกว่านั้น คือ ลักษณะนิสัยในการขับขี่ ถ้ายอมปรับเปลี่ยนได้ ไม่ต้องเปลี่ยนผ้าเบรค หรือน้ำมันเบรคเลยก็ยังไหว การขับขี่รถบนเส้นทางที่สูงชันนั้น ถ้าใช้ความเร็ว และตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสมจะดีกว่า
หลายคนเวลาจะขึ้นเนินก็จะเร่งเครื่องใส่ เพราะกลัวว่ารถจะอืดขึ้นเขาไม่ทันใจ เวลาลงเนินก็ชอบมาเบรคที่ตีนเนิน นั่นทำให้เบรคทำงานหนักมากๆ เพราะโมเมนทัมของตัวรถจะสูงเกินไป ตำแหน่งเกียร์ก็สำคัญไม่น้อย โดยเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ
ในเส้นทางมุ่งสู่ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีนั้น เป็นเขาสูงชันและเต็มไปด้วยโค้งแคบๆ ในรถ พีพีวี คันหนึ่งเครื่อง 2.5 ลิตร กับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ผมใช้ความเร็วเฉลี่ยที่ 80 กม./ชม. บางช่วงก็เกินกว่านั้น บางช่วงก็น้อยกว่านั้นตามสภาพเส้นทาง แต่ผมใช้เกียร์ช่วยในการขับขี่ตลอด ตำแหน่งเกียร์ที่ใช้ประจำคือ 2 และ 3 ในช่วงทางขึ้น/ลงเขา จนเมื่อเจอทางราบ และตรงยาวหน่อยก็จะเปลี่ยนเป็นเกียร์ 4
การใช้ตำแหน่งเกียร์ช่วยนั้นทำให้เราไม่ต้องเร่งเครื่องยนต์มาก ผลที่ตามมา คือ ความประหยัดที่มากขึ้น จังหวะขึ้นเนินชันการใช้เกียร์ตำแหน่งเกียร์ 3 จะดีกว่าตำแหน่งเกียร์ 4 แน่นอน เพราะจะอยู่ในรอบเครื่องยนต์ที่มีแรงบิดสูง และต่อเนื่อง อาจจะดูเหมือนเป็นการขับลากเกียร์ แต่มีประสิทธิภาพดีกว่ากันเห็นๆ
ในจังหวะที่เนินชันมากๆ เมื่อรอบเครื่องเริ่มตกลงก็เปลี่ยนมาใช้เกียร์ 2 ความต่อเนื่องของแรงบิดจะยังคงอยู่ ทำให้ขึ้นเนินได้โดยง่าย โดยตำแหน่งคันเร่งไม่ต้องขยับเลยด้วยซ้ำ จังหวะลงเนินก็เช่นกัน เมื่อเห็นเป็นเนินชันยาว ก็ต้องเริ่มเบรคตั้งแต่ต้นเนิน และเปลี่ยนเกียร์ลงต่ำเพื่อให้เครื่องยนต์ช่วยประคอง
สิ่งสำคัญ คือ การรักษาความเร็วในการเดินทางที่เหมาะสม ไม่ต้องเร่ง ไม่ต้องเบรคกันมากนัก นอกจากประหยัดเชื้อเพลิงแล้ว ยังลดการสึกหรอของเครื่องยนต์อีกทางหนึ่ง สิ่งสำคัญก็คือ ระบบเบรคไม่ต้องทำงานหนัก
การขับขี่ในลักษณะที่กล่าวมานั้น อาจดูเหมือนช้ากว่าพวกที่เร่งเครื่องเยอะๆ แล้วไปเบรคก่อนเข้าโค้ง หรือไปเบรคที่ตีนเนิน แต่เมื่อถึงปลายทางกลายเป็นว่าไปถึงพร้อมๆ กัน แถมสิ้นเปลืองน้ำมันน้อยกว่า จากที่เจอมากับตัวเอง ขับมาพร้อมกัน 2 คัน อีกคันหนึ่งพอทางโล่ง ก็จะขึ้นนำไปแต่ผมก็ไปทันตอนถึงโค้งทุกครั้ง เวลาลงเนินด้วยความที่ขับมาเร็ว ก็เหยียบเบรคตั้งแต่ยอดเนินถึงตีนเนิน ไฟเบรคแดงวาบให้เห็นตลอด ขณะที่ผมนั้นแทบไม่ได้แตะเบรคเลย เพราะใช้ความเร็วไม่สูงโดยใช้เกียร์ร่วมด้วย เมื่อถึงปลายทางก็ยังทันเห็นท้ายรถเลี้ยวเข้าปั๊มได้ทัน
พอจอดรถลองเอามือไปอังห้องเครื่อง และเบรค พบว่าคันนั้นร้อนจัดรู้สึกได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน เมื่อไปเติมน้ำมันดู อัตราสิ้นเปลืองพบว่าคันผมประหยัดกว่าหลายลิตรเลยทีเดียว เพราะไม่ได้เร่งเครื่องบ่อยๆ และไม่น่าเชื่อว่าการใช้ความเร็ว 80 กม./ชม. ในคันของผม กับความเร็ว 100 กม./ชม. ของคันหน้านั้น จะเห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องของอัตราสิ้นเปลือง และการสึกหรอของเครื่องยนต์ และเบรค
สิ่งสำคัญ คือ เรื่องของเวลาในการถึงที่หมายแตกต่างกันไม่กี่นาที เมื่อมาถึงตรงนี้ก็น่าจะบอกได้ชัดเจนว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับขี่ เพียงพอในการเพิ่มความปลอดภัย เว้นแต่กรณีต้องใช้เส้นทางลักษณะดังกล่าวเป็นประจำ การเปลี่ยนน้ำมันเบรค กับผ้าเบรคให้เป็นเกรดสูงขึ้น 2 อย่างนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเผื่อให้มีความปลอดภัยอย่างใจหวัง
เรื่องโดย : พหล ฯ 30 4wheels@autoinfo.co.th
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2552
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/27452