ทั่วไป
ที่กล่าวไม่เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมนะเอ้อ แต่ผมกำลังตีแผ่ความจริงของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์หนึ่งเดียวที่ผิดแผกจากสัตว์โลกทุกชนิด คือ มีหัวคิด อยากมี อยากได้ อยากสะสม ขนาดมหึมา หรือ รวมๆ เรียกว่า ละโมบ แบบไร้ขีดจำกัด ไม่ใช่เกิดมาแล้วก้มหน้าหาอาหารใส่ปากท้องยังชีพ เยี่ยงสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย
ความละโมบของมนุษย์ทำให้โลกร้อน
ที่กล่าวไม่เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมนะเอ้อ แต่ผมกำลังตีแผ่ความจริงของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์หนึ่งเดียวที่ผิดแผกจากสัตว์โลกทุกชนิด คือ มีหัวคิด อยากมี อยากได้ อยากสะสม ขนาดมหึมา หรือ รวมๆ เรียกว่า ละโมบ แบบไร้ขีดจำกัด ไม่ใช่เกิดมาแล้วก้มหน้าหาอาหารใส่ปากท้องยังชีพ เยี่ยงสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย
ว่ามาแค่นี้พี่น้องคงนึกออกว่า ตัวท่านเอง และผู้คนบนโลกนี้มีความทะยานอยากขนาดไหน ตลอดชีวิตไม่ว่าจะสั้น หรือยาว พยายามสะสมทุกสรรพสิ่งในโลกไว้เป็นของตนขนาดไหน เฉพาะเงินตราอย่างเดียว หากมีสักล้านน่าจะอยู่กินไปได้สบายๆ ถามว่าพอไหม ไม่มีใครบอกว่าพอหรอกครับ อยากได้เป็น สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน หรือล้านๆ สำหรับคนๆ เดียว ถึงขนาดนั้นก็ยังไม่หยุด ดิ้นรนแสวงหาสุดเหวี่ยงต่อไป ตัวอย่างเห็นชัดเจน บรรดามหาเศรษฐีระดับโลกทั้งหลาย ที่ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้เลยก็ตาม นี่คือ ธาตุแท้ของมนุษย์ ที่น่าสะพรึงกลัว
จึงขอฟันธงอีกรอบหนึ่งว่า โลกร้อนเพราะความละโมบของมนุษย์
มนุษย์ทุกวันนี้ไม่ได้อยู่อย่างพอเพียงกับธรรมชาติเช่นในอดีต ขณะนี้เราเป็นตัวเร่งทำให้โลกร้อนขึ้นทุกเสี้ยววินาที แค่การใช้เครื่องปรับอากาศ เพื่อปรับอุณหภูมิตามใจชอบ ใช้พาหนะคันใหญ่โต เพื่อไปไหนมาไหนแค่คนๆ เดียว นั่นคือ การสะสมความร้อนให้กับโลกอย่างมากมาย
การแสวงหาคฤหาสน์ บ้านช่อง ข้าวของเครื่องใช้สารพัดแต่ละคนในยุคนี้ เพื่อความสะดวกสบาย แล้วเกิดอุตสาหกรรมการผลิตแขนงต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก เช่น อุตสาหกรรมเกี่ยวกับโลหะ พลาสติค แก้ว กระดาษ ทำลายป่าไม้ต้นน้ำลำธารสิ่งแวดล้อม นั่นคือ ตัวการทำให้โลกร้อนฉ่า โดยตรงครับท่าน
เอาง่ายๆ ขณะนี้เรากระดี้กระด้าหารถยนต์ ซึ่งหมายถึง รถส่วนตัวใช้กันทั้งโลก ดูเผินๆ มันช่างวิเศษเสียนี่กระไร ไม่น่าจะมีปัญหา แต่เพ่งดูให้ดีเถิดครับ เราท่านตัวเล็กเท่าโลงศพธรรมดา แต่พากันครอบครองพาหนะคันใหญ่โตกว่าสังขารไม่รู้กี่เท่า ยิ่งเศรษฐี หรือคนมะกันยิ่งชอบรถคันใหญ่ยาวเพื่อความเท่ เผลอๆ มีเครื่องบินส่วนตัวอีกต่างหาก จากนั้นก็พาสิ่งที่ใหญ่โตเกินร่างกายไปไหนมาไหนกันทั้งโลก ความแออัดยัดเยียดจึงตามมา และทวีคูณขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้
เมื่อรถมีจำนวนมหาศาล อีกหน่อยอาจเท่ากับพลโลก นี่ไม่นับรวมรถบรรทุกรถอย่างอื่น ต่างใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดความร้อน รถยนต์เพียงอย่างเดียว จึงเผาโลกปล่อยแกสเสียคลุมโลก ในอัตราที่ขยายตัวไม่หยุด โลกไม่ร้อนขึ้นได้ไงล่ะ
ลองคิดต่อไปอีก ก่อนที่จะมาเป็นรถยนต์ให้คนแต่ละคัน ไปแออัดเผาน้ำมันในทุกบ้านทุกเมือง ล้วนต้องผ่านกระบวนการความร้อนเพื่อสร้างขึ้นมาทั้งนั้น เมื่อโลกนี้ผลิตรถปีหนึ่งเป็นล้านๆ คัน โอ้...แม่เจ้า
ไม่ต้องเป็น อัลกอร์ (ALBERT A GORE, JR ศิษย์เก่าฮาร์วาร์ดคนล่าสุดที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 เจ้าของหนังสือ โลกร้อน ความจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง (AN INCONVENIENT TRUTH) ซึ่งจัดทำเป็นภาพยนตร์ ได้รับรางวัลออสการ์ สาขาสารคดี เมื่อต้นปี 2550 และเป็นผู้นำในการก่อตั้งองค์กร SAVE OUR SSLEVE เพื่อสนับสนุนแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์สภาพอากาศ แต่เป็นคุณ เป็นผม ก็น่าจะนึกรู้ว่า นั่นคือ สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่สุมโลกให้ร้อนขึ้นๆ
ถามว่าโลกร้อนแล้วจะเป็นจะตายยังไงหา... "อัลกอร์" แกออกมาเตือนอย่างแข็งขันว่า "ภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องที่จำกัดอยู่ในวงวิทยาศาสตร์ หรือประเด็นทางการเมือง แต่เป็นประเด็นทางจริยธรรมด้วย" และบอกว่า จริยธรรมของมนุษย์ คือ หนทางเยียวยาโลกร้อนได้ หากเราไม่จัดการกับปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็วจริงจังแล้วไซร้ โลกต้องเผชิญกับหายนะอย่างแน่นอน
ซึ่งหมายถึง พายุรุนแรง ภาวะอากาศแปรปรวนมากขึ้น ผืนน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ และธารน้ำแข็งทั้งหมดบนภูเขาทั่วโลก ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาบนเกาะกรีนแลนด์ ก้อนน้ำแข็งมโหฬารเหนือเกาะแก่งในแอนตาร์กติกา ตะวันตกถูกทำลาย จนน้ำทะเลทั่วโลกอาจเพิ่มสูงขึ้นถึง 20 ฟุต (6 เมตร) เมืองต่างๆ รวมทั้ง กทม. จมบาดาลกันละคราวนี้ บรื้อ... นี่ไม่นับการคุกคามในรูปแบบการไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทร และกระแสลมทั่วโลก
สิ่งใกล้ตัวอย่างหนึ่ง คือ บรรจุภัณฑ์ ที่แต่ละคนทิ้งกัน คิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของขยะที่นำมากำจัดด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กระดาษ พลาสติค อลูมิเนียม แก้ว โฟม ขยะไอที ก็สุมโลกให้เร่าร้อนขึ้นมากมาย
ตัวการของความหายนะ คือ มนุษย์ที่พ้นจากการเป็นคนหลังเขาคนป่าไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา พยายามหาวิธีอยู่กินอย่างสุโขจนเลยเถิด กลายเป็นการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ สร้างภาวะเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล จากโรงงาน 40 % จากตึกรามบ้านช่อง 31 % (น้อยอยู่หรือ) จากการขนส่ง 22 % เกษตรกรรมอีกหลายเปอร์เซนต์ คิดเป็นน้ำหนักหลายหมื่นตัน/ปี เข้าสู่สภาพแวดล้อมโลก ไทยเราก็ใช่ย่อย
ความเร่าร้อนของโลก ที่เกิดจากมนุษย์ไม่หยุดแค่นั้น ประเด็นทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ก็กำลังเผาผู้คนทั้งโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยในนาทีนี้ รำๆ จะยกพวกฆ่ากันเป็นสงครามกลางเมือง ซึ่งในประเทศที่เขาเจริญแล้ว คือ มุกเก่าๆ ที่เขาเข็ดขยาด เขาเลิกเล่นกันแล้ว
ผมขอตัดฉากมาที่เรื่อง พาหนะ ของแต่ละคนที่ทำให้โลกร้อนขึ้นในขณะนี้ และกำลังเจอวิกฤตน้ำมันครั้งใหญ่หลวง โดนโก่งราคาปั่นราคาแบบบ้าคลั่ง จนชาวโลกหน้ามืด ส่งผลกระทบไปถึงราคาสินค้าต่างๆ อย่างหนัก แต่ทุกรัฐบาล ทุกประเทศดูเหมือนจะ ไม่นำพา ประหนึ่งว่ายินดีในลาภผลบางอย่างที่ตามมาจากราคาน้ำมัน
แต่ใน วิกฤต มักเปิด โอกาส ให้เราอยู่รอด หรือที่เรียกว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางออก ไม่ใช่ ทุกทางออกย่อมมีปัญหา ถ้าเป็นยังงั้นเราตายแน่ๆ ในเมื่อผู้ค้าน้ำมันตั้งหน้าโกยเงินจากกระเป๋าของพวกเราอย่างโหดเหี้ยม ยิ่งกว่ากระสือ ซาตาน ฯลฯ รวมกัน จึงบีบคั้นให้ชาวโลกกระเสือกกระสนให้พ้นจากความเดือดร้อนชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าเราคืบคลานพ้นวิกฤตพลังงานน้ำมันเมื่อไหร่ โลกและตัวเราจะเย็นลง
ขณะที่เจ้าของบ่อน้ำจะร้อนฉ่า หาทางผูกคอตายก็แล้วกัน
น้ำมันแพงกำลังผลักดันให้ใช้พลังงานทางเลือกอื่น เช่น พลังงานจากพืช เอารถไปติดถังแกสจ้าละหวั่น ซึ่งเคยมองว่าไม่คุ้ม นั่นอย่างหนึ่งละ แต่ยังไม่ใช่หมัดเด็ด นอคน้ำมันให้หงายเก๋ง พลังงานอื่นอีกต่างหากที่จะพิฆาตไอ้จอมโหดน้ำมัน นั่นคือ พลังงานไฟฟ้า และตอกฝาโลงให้น้ำมันตายสนิท ด้วย พลังงานไฮโดรเจน ที่มนุษย์รู้จักมันมาเป็นร้อยปี แต่เรามัวหลงระเริงกับพลังงานน้ำมัน จนไม่ขวนขวายเท่าที่ควร ต่อเมื่อน้ำมันฮึกเหิมเหยียบอกชาวโลกในขณะนี้ จึงต้องหาทางออกด่วนจี๋ ด้วยพลังงานไฟฟ้า และไฮโดรเจน
รถใช้ พลังงานไฟฟ้า ซึ่งสูญเสียพลังงานในการทำงานมากกว่า การพัฒนาจึงเชื่องช้า แต่เพราะน้ำมันแพงบีบคอ ทำให้การพัฒนาเครื่องยนต์พลังงานไฟฟ้ามีทางคุ้มทุนได้ ในยุโรปกำลังพัฒนาแบทเตอรีทำจากโพลีเมอร์ มีคุณสมบัติชาร์จไฟตัวเองได้ และขนาดเล็กลง รถไฟฟ้าจะมาไล่ถีบน้ำมันจนตกกระป๋อง จึงเป็นจริงมากขึ้น อีกปีสองปีชาวโลกคงได้เห็นแน่ๆ
รถใช้ พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งมีเค้ามานานและเคยมองว่าไม่คุ้มทุน ก็ทำท่าจะแจ้งเกิดเพราะน้ำมันดันกำแหงเหยียบม้ามพวกเราอย่างไม่ปรานี บริษัทรถยนต์ที่ญี่ปุ่นเปิดเผยการทดลอง เอาพลังงานที่เกิดจากการแตกตัวของออกซิเจน และไอโดรเจนในน้ำ มาเป็นกระแสไฟ ชาร์จแบทเตอรีให้รถยนต์คันเล็กๆ วิ่งได้ 80 กม./ชม. รถยนต์แบบนี้ใช้ น้ำ ว้าว...น้ำ ไม่ใช่ น้ำมัน เป็นเชื้อเพลิงครับท่าน
พลังงานไฮโดรเจนหากเป็นจริง ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป ไม่ได้ช่วยเฉพาะรถยนต์และการขนส่งเท่านั้น ยังช่วยในเรื่องพลังงานอุตสาหกรรม ตลอดจนการผลิตไฟฟ้าแก่ครัวเรือน เพื่อปลดแอกจากการเป็นทาสน้ำมันที่มาจากฟอสซีล ซึ่งมันกำลังปล้นเงินของพวกเราในขณะนี้อย่างเลือดเย็น
ท้ายที่สุด ขอให้พ่อแม่พี่น้องอดทนเข้าไว้ ขอให้คิดว่า เรากำลังอยู่ในสภาพของการยังชีพในป่าอะไรประมาณนั้น จงงัดทุกวีธี โดยเฉพาะเรื่องการประหยัด อยู่แบบพอเพียง เพื่อนำพาตัวท่านให้รอดพ้นมรสุมครั้งนี้ แต่อย่าเลือกวิธี ทุจริต โกงกิน ซึ่งประเทศเราขึ้นแท่นระดับโลกให้ศาลท่านเหนื่อย เราคงได้เฮในเวลาอันใกล้ เมื่อถึงวันโบกมืออำลาปีศาจน้ำมันตลอดกาล ซึ่งจะช่วยให้โลกร้อนน้อยลง หรือเย็นลงในที่สุด งานนี้คงต้องหันไปขอบคุณพ่อค้าน้ำมันหน้าเลือดสักนิดหนึ่ง ที่เค้นคอให้เราดิ้นรน จนพ้นจากความ
เป็นทาสน้ำมันนะท่านนะ
อ้อมาคลายเครียดและเย็นลง ด้วยมุกตลกที่ได้จากหนังสือขายหัวเราะสักนิดหนึ่ง เขาเขียนถึงระบบการจราจรแบบไทยๆ ในทุกวันนี้จนถึง 50 ปีข้างหน้า
- เรามีสะพานลอยไว้บังแดดคนข้ามถนน (และกินค่าคอมมิชชันตอนก่อสร้าง)
- เรามีรั้วกั้นถนนไว้ฝึกนักกรีฑาข้ามรั้ว
- เรามีทางม้าลายไว้ วัดใจ ระหว่างคนขับกับคนข้ามถนน (ว่าตำรวจจะถูกหวยอีกหรือไม่)
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กันยายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/26907