ผลทดสอบ
รถแวกอนรูปทรงกล่อง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของรถอเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ เอสยูวี ในยุคแรกๆ และยังได้รับความนิยมสูงอยู่ แม้ในยุคนี้ อย่างเช่น โตโยตา แลนด์ ครูเซอร์ 76
(TOYOTA LAND CRUISER 76) หรือ แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ (LAND ROVER DEFENDER) ก็ยังใช้รูปทรงนี้อยู่ จะว่ากันไปแล้วรถรูปทรงกล่องยังเป็นรถกลุ่มใหญ่
ที่สามารถทำยอดขายสูงสุด ทั้งยังตอบสนองการใช้งานได้ดีกว่า โดยเฉพาะในเส้นทางทุรกันดาร
รถแวกอนรูปทรงกล่อง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของรถอเนกประสงค์ขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ เอสยูวี ในยุคแรกๆ และยังได้รับความนิยมสูงอยู่ แม้ในยุคนี้ อย่างเช่น โตโยตา แลนด์ ครูเซอร์ 76
(TOYOTA LAND CRUISER 76) หรือ แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ (LAND ROVER DEFENDER) ก็ยังใช้รูปทรงนี้อยู่ จะว่ากันไปแล้วรถรูปทรงกล่องยังเป็นรถกลุ่มใหญ่
ที่สามารถทำยอดขายสูงสุด ทั้งยังตอบสนองการใช้งานได้ดีกว่า โดยเฉพาะในเส้นทางทุรกันดาร
เริ่มต้นกันด้วยระบบความปลอดภัยของรถทั้ง 2 คัน แม้มีรูปทรงเหลี่ยมแบบดั่งเดิม แต่ความปลอดภัยมีให้อย่างเพียงพอ ด้วยแอร์แบกสำหรับผู้โดยสารในที่นั่งแถวหน้าทั้ง
2 ตำแหน่ง สำหรับ ดีเฟนเดอร์ แตกต่างด้วยระบบเบรคแบบจาน พร้อมระบบเอบีเอส ส่วน แลนด์ ครูเซอร์ ไม่มีระบบเอบีเอส
แลนด์ ครูเซอร์ 76 ทาง โตโยตา ได้ปรับเปลี่ยนมาใช้บอดีสไตล์เหลี่ยมแบบดั่งเดิม ขณะที่ทาง แลนด์ โรเวอร์ ใช้รูปทรงนี้มาจนเป็นซีรีส์ที่ 9 แล้ว สำหรับ ดีเฟนเดอร์
ด้านหน้าของ แลนด์ ครูเซอร์ 76 โดดเด่นด้วยรูปทรงที่ขึ้นรูปจากโลหะ โดยได้รับอิทธิพลจากรูปทรงของ บูนเดรา 70 (BUNDERA 70) รถแวกอน 2 ประตูในอดีต ซึ่งได้นำมาถ่ายทอด
ลงในรูปทรงของ แลนด์ ครูเซอร์ ทู (LAND CRUISER II) และ ปราโด (PRADO) เครื่องยนต์มีให้เลือกทั้งเบนซิน และดีเซล ที่ส่วนใหญ่เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล จะได้รับความนิยมสูงกว่า
ด้านใต้ของบอดีทรงเหลี่ยม ทั้งคู่ใช้แชสซีส์แบบขั้นบันได และระบบรองรับแบบเพลาแข็งทั้งในด้านหน้า และด้านหลัง แลนด์ ครูเซอร์ ใช้ระบบรองรับแบบคอยล์สปริงในด้านหน้า
และแหนบในด้านหลัง ซึ่งได้นำมาใช้ใน ซีรีส์ 78/79 ตั้งแต่ 9 ปีก่อน (ปี 2542) ส่วน แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ ได้ใช้ระบบรองรับแบบคอยล์สปริงทั้ง 4 ล้อ ซึ่งได้ใช้มานาน
25 ปี คือ ตั้งแต่ปี 2526 แล้ว
ภายในห้องโดยสารของ แลนด์ ครูเซอร์ ค่อนข้างจะเรียบง่าย โดยเฉพาะแผงอุปกรณ์ที่แทบไม่ต่างจากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แม้กระทั่งระบบปรับอากาศก็ไม่มีมาให้ แต่ถ้าต้องการก็สามารถ
สั่งซื้อเป็นออพชันได้ ระบบเครื่องเสียงได้ติดตั้งวิทยุ เครื่องเล่นซีดี และเอมพี 3 สำหรับคุณภาพเสียงอยู่ในระดับเกินพอ
แผงอุปกรณ์แผ่นโลหะแม้ไม่สวยงาม แต่ช่วยให้การติดตั้งอุปกรณ์ทำได้ง่ายมากขึ้น ทั้งอุปกรณ์ระบุพิกัดจากดาวเทียม โทรศัพท์ผ่านดาวเทียม และวิทยุสื่อสาร เบาะนั่ง 5 ที่นั่งหุ้มผ้า
และปูพื้นด้วยไวนิล รุ่น เวิร์คเมท (WORKMATE) และพรม รุ่น จีเอกซ์แอล (GXL)
ภายในของ ดีเฟนเดอร์ มีการปรับเปลี่ยนไปจากรุ่นเดิม ด้วยการใช้แผงอุปกรณ์แบบชิ้นเดียว ติดตั้งเกจวัดแบ่งเป็นช่องชัดเจน ทำให้ใช้งานง่ายขึ้น
ระบบปรับอากาศ 4 ช่อง พร้อมช่องจ่ายลมไปยังด้านหลัง สวิทช์ควบคุมติดตั้งไว้กับปุ่มควบคุมซีดี/วิทยุ และสวิทช์เปิดกระจกของผู้โดยสารในแถวหน้า เนื้อที่วางเท้าก็
กว้างขวางขึ้น โดยไม่มีระบบทำความอุ่นเข้ามาเกะกะ ส่วนนาฬิกาในด้านหน้ายังเป็นระบบแอนาลอกเหมือนเดิม
ภายในของ ดีเฟนเดอร์ เหนือกว่าทั้งเนื้อที่บรรทุกสัมภาระ และห้องโดยสารในด้านหลังที่กว้างขวาง และมีแนวหลังคาที่สูงกว่า ส่วน แลนด์ ครูเซอร์ มีห้องโดยสารที่แคบกว่า
อย่างเห็นได้ชัด
เบาะนั่งหน้าของ แลนด์ ครูเซอร์ กว้างขวางกว่า และมีตำแหน่งการจัดท่านั่งที่สะดวกสบายมากกว่าแม้ยามเดินทางไกล เบาะนั่งแถว 2 ให้ความสะดวกสบายเพียงพอสำหรับ
การเดินทางไกล
ที่แปลกใหม่ คือ แผงอุปกรณ์ของ ดีเฟนเดอร์ ที่มีการจัดวางสวิทช์ และปุ่มควบคุมที่แตกต่างไปมาก ส่วนแผงอุปกรณ์ของ แลนด์ ครูเซอร์ สามารถตอบสนองการใช้งานได้ดี
เครื่องยนต์ของทั้ง 2 คัน ถ้าดูจากสเปคแล้วคงเทียบกันไม่ได้เลย แลนด์ ครูเซอร์ ใช้เครื่องยนต์ดีเซล แบบ วี 8 สูบ ขนาด 4.5 ลิตร ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่สำหรับทำงานร่วมกันกับ
ระบบถ่ายทอดกำลังของ ซีรีส์ 78/79 โดยเฉพาะ ซึ่งมีความจุเกือบ 2 เท่าของเครื่องยนต์ ดีเฟนเดอร์
เครื่องยนต์นี้ให้กำลังสูงสุด 205 แรงม้า ที่ 3,200-3,400 รตน. และแรงบิด 43.9 กก.-ม. ที่ 1,200-3,200 รตน. นับว่ามีพลังมากกว่าเครื่องเดิมกว่า 50 % ทั้งแรงม้า และแรงบิด
โดยได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับ ซีรีส์ 70 โดยถูกจำกัดแรงบิด และไม่ได้เซทอัตราทดเกียร์ในการใช้ความเร็วสูง
ภายใต้ฝากระโปรงของ ดีเฟนเดอร์ เป็นเครื่องยนต์ดีเซล อินเตอร์คูเลอร์ แบบ 4 สูบเรียง ขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 3,500 รตน. และแรงบิด 36.7 กก.-ม.
ที่ 2,000 รตน. และ 32.1 กก.-ม. ที่ 1,500 รตน.
เครื่องยนต์ของ ดีเฟนเดอร์ เป็นเครื่องยนต์ใหม่จาก ฟอร์ด ซึ่งเป็นเครื่องยนต์เดียวกันกับที่ใช้ใน ฟอร์ด ทรานสิท (FORD TRANSIT) ส่วนระบบถ่ายทอดกำลังเป็นระบบเกียร์
จาก GETRAG MT82 ที่ใช้ใน ฟอร์ด หลากหลายรุ่น
แม้ว่า แลนด์ ครูเซอร์ มีความได้เปรียบด้านพละกำลังที่เหนือกว่า แต่ ดีเฟนเดอร์ ก็ไม่น้อยหน้าด้วยระบบเกียร์ 6 จังหวะ ขณะที่ แลนด์ ครูเซอร์ ใช้ระบบเกียร์ 5 จังหวะ แต่อัตราทดชุดเกียร์ทรานสเฟอร์ของ ดีเฟนเดอร์ เหนือกว่าด้วยอัตราทด 3.269:1 ในขณะที่ แลนด์ ครูเซอร์ มีอัตราทด 2.488:1
ทั้ง ดีเฟนเดอร์ และ แลนด์ ครูเซอร์ 76 มีระบบผ่อนแรงระบบควบคุมเซนทรัลลอคควบคุมระยะไกล และระบบผ่อนแรงกระจกไฟฟ้าเฉพาะด้านหน้าสำหรับ ดีเฟนเดอร์ เบาะนั่งด้านหน้า
ทั้ง 2 ค่อนข้างโอบกระชับ ส่วนด้านหลังเป็นเบาะ 3 ที่นั่ง และเป็นครั้งแรกที่ ดีเฟนเดอร์ ติดตั้งที่นั่งคู่ในแถวที่ 3 ทำให้ ดีเฟนเดอร์ สามารถรับผู้โดยสารได้ถึง 7 คน
ใน ดีเฟนเดอร์ ได้ติดตั้งระบบปรับอากาศมาให้เป็นมาตรฐาน ส่วน แลนด์ ครูเซอร์ ต้องจ่ายเพิ่มตามระเบียบ ล้อของทั้ง 2 คันเป็นล้ออัลลอย พร้อมยางแบบไร้ยางใน
ส่วน แลนด์ ครูเซอร์ รุ่น เวิร์คเมท ยังใช้กระทะล้อแบบมียางใน ขนาด 7.50 R16 ส่วน ดีเฟนเดอร์ ก็สามารถเลือกสั่งกระทะล้อโลหะพร้อมยางในได้ถ้าต้องการ
ดีเฟนเดอร์ ในสเปคมาตรฐานจากโรงงานจะได้รับการติดตั้งระบบเอบีเอส และระบบทแรคชัน คอนทโรลมาให้ พร้อมทั้งระบบเบรคมือแบบดุมจับที่ชุดเกียร์ ซึ่งเหมาะกับการใช้งานในสภาพทุรกันดารมาก ในขณะที่ แลนด์ ครูเซอร์ ใช้ระบบเบรคมือแบบดุมจับที่ชุดเบรคจาน จึงทำให้ ดีเฟนเดอร์ เหนือกว่าในระบบเบรค แต่ในเรื่องของการยึดเกาะแล้ว แลนด์ ครูเซอร์
ก็สามารถชดเชยได้ ด้วยระบบดิฟฟ์ลอคหน้า/หลัง ซึ่งเป็นออพชันให้เลือก
ทั้ง 2 คันใช้ถังน้ำมันเชื้อเพลิงแบบถังเดี่ยว โดย ดีเฟนเดอร์ มีความจุ 75 ลิตร ส่วน แลนด์ ครูเซอร์ มีความจุ 90 ลิตร ถ้าจะเข้าป่าจริงๆ แล้ว ทั้งคู่คงต้องติดตั้งถังน้ำมันเชื้อเพลิง
สำรองเพิ่ม เพื่อความมั่นใจ
การขับขี่คันเกียร์ของ ดีเฟนเดอร์ จัดวางค่อนไปทางด้านหลัง เพื่อความสะดวกในการควบคุมระบบทรานสเฟอร์ และระบบดิฟฟ์ลอค นอกจากนั้นยังมีรูปแบบการจัดวางตำแหน่งของ
เกียร์ถอยหลัง และเกียร์ 1 ไว้ชิดกัน น่าจะเหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพทุรกันดาร แต่ในการใช้งานจริงไม่คล่องตัว เพราะสปริงเกียร์ถอยหลังค่อนข้างแข็ง และการถ่ายทอด
ความรู้สึกยังไม่ดีนัก โดยเฉพาะระบบคลัทช์ที่มีระยะจับที่ไม่แน่นอน ส่วน แลนด์ ครูเซอร์ มีการทำงานของคลัทช์ที่ควบคุมง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด ถอยหลังค่อนข้างเข้ายากิงแล้วง นทางไกลังก็ได้พื่อให้มีทัศนวิสัยรอบข้าง
ในการเปรียบเทียบสมรรถนะในเส้นทางเนินชัน แลนด์ ครูเซอร์ เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ด้วยแรงบิดที่เหนือกว่า ในขณะที่ ดีเฟนเดอร์ ยังมีลุ้นที่จะต้องเลือกสับเกียร์ที่เหมาะสม
เพื่อให้มีแรงบิดอย่างเพียงพอ
บนทางเรียบ ทั้ง 2 คันแทบไม่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเกียร์สุดท้ายที่มีความยืดหยุ่นมาก และสามารถเร่งขึ้นไปถึงระดับความเร็วเดินทางได้อย่างสบาย โดยเฉพาะในเกียร์
โอเวอร์ดไรฟของ ดีเฟนเดอร์ ที่มีอัตราทดระดับ 0.881:1 ส่วน แลนด์ ครูเซอร์ ได้มีการปรับปรุงอัตราทด โดยไม่ต้องใช้รอบเครื่องสูงเกินไปเหมือนกับรุ่นก่อนที่ออกอาการตั้งแต่
ความเร็ว 95 กม./ชม. โดยมีเสียงรบกวนจากลมน้อยลง
การทดสอบการบรรทุกสัมภาระหนักครึ่งตัน ทั้ง 2 คันทำได้ดี บนทางคดเคี้ยว ดีเฟนเดอร์ ยังมีการตอบสนองการขับขี่ที่สมดุลเหนือกว่า ด้วยระบบรองรับแบบคอยล์สปริงทั้ง 4 ล้อ
ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อรองรับการใช้งานในทุกสภาพเส้นทาง
ส่วน แลนด์ ครูเซอร์ ที่ใช้ระบบรองรับคอยล์สปริงในด้านหน้า และแหนบแรงบิดแปรผันในด้านหลัง ทำให้ระบบรองรับหน้า/หลังมีจุดหมุนและมีความสูงต่างกัน ทั้งมีความกว้างของ
ฐานล้อหน้า/หลังที่ต่างกันอยู่ 95 มม. จึงทำให้การตอบสนองการขับขี่ในเส้นทางขรุขระที่มีลักษณะเฉพาะ นอกจากนั้นการตอบสนองการขับขี่ของ รุ่น จีเอกซ์แอล เหนือกว่า รุ่น
เวิร์คเมท ที่ใช้ยางหน้าแคบ อย่างเห็นได้ชัด
ในเส้นทางลุย ทั้ง 2 คันมีการตอบสนองการควบคุมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ใน ดีเฟนเดอร์ ที่ขาดแรงบิด ต้องเลือกเกียร์เพื่อให้มีแรงบิดที่เหมาะสมไปกับสภาพเส้นทาง ส่วน โตโยตา
ได้เปรียบด้วยระบบดิฟฟ์ลอคแบบไขว้ ส่วนระยะยืดล้อของ ดีเฟนเดอร์ ดีกว่า แต่ในสภาพผิวทรายนุ่ม ทั้ง 2 คันต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา เพื่อจะได้หลุดออกจากสถานการณ์ติดหล่มทราย
แลนด์ ครูเซอร์ มีฐานล้อที่สั้นกว่า 64 มม. ซึ่งน่าจะมีโอกาสติดใต้ท้องรถน้อยกว่า แต่ทาง ดีเฟนเดอร์ ก็มีระยะห่างใต้ท้องมากกว่า ส่วนมุมเข้ามุมออกจากอุปสรรค ดีเฟนเดอร์
สามารถผ่านไปได้ ขณะที่ แลนด์ ครูเซอร์ งัดอุปสรรคทั้งหน้า และหลังตัวรถ
ในเกียร์โลว์ ดีเฟนเดอร์ ได้เปรียบด้วยอัตราทด 63:1 ในขณะที่ แลนด์ ครูเซอร์ มีอัตราทด 44:1 แต่ด้วยพลังเครื่องยนต์ที่มากกว่า จึงทำให้ แลนด์ ครูเซอร์ สามารถผ่านอุปสรรค
ไปได้อย่างสบาย
ทาง แลนด์ ครูเซอร์ มีระบบเร่งรอบเดินเบา "IDLE-UP" ที่ช่วยเพิ่มรอบเดินเบาขึ้นไปที่ 1,200 รอบ ทำให้สามารถปีนป่ายมุมชัน 25 องศา ด้วยรอบเดินเบา โดยไม่มีความจำเป็น
ต้องแตะต้องคันเร่งช่วย ส่วน ดีเฟนเดอร์ มีระบบหัวฉีดเชื้อเพลิง ANTI-STALL ที่ไม่ทำให้เครื่องยนต์ดับขณะปีนเนินชัน
ส่วนเรื่องความสิ้นเปลือง และการซ่อมบำรุง เครื่องยนต์ของทั้ง 2 คันมีระยะทางครบรอบเซอร์วิศทุก 10,000 กิโลเมตร หรืออาจจะเร็วกว่านั้นถ้าเดินทางผ่านสภาพฝุ่นมาก
ส่วนความสิ้นเปลืองขึ้นอยู่กับวิธีการขับขี่ น้ำหนักบรรทุก ความเร็ว และสภาพเส้นทาง ด้วยระยะเวลาทดสอบกว่า 2 เดือนในทุกสภาพเส้นทาง ได้อัตราความสิ้นเปลืองเฉลี่ย
11-14 ลิตร/100 กม. ส่วน แลนด์ ครูเซอร์ ทำได้ 12-16 ลิตร/100 กม.
แล้วจะเลือกคันไหนดี ระหว่าง แลนด์ ครูเซอร์ ที่มีเครื่องยนต์ใหญ่ พร้อมทั้งสมรรถนะ ทั้งในทางฝุ่น และทางเรียบ
ดีเฟนเดอร์ มีแชสซีส์ที่ล้ำหน้ากว่า การตอบสนองการควบคุมดีกว่า พร้อมทั้งระบบเบรคเอบีเอส และทแรคชัน คอนทโรล การตัดสินใจทำได้ง่ายขึ้น ถ้าเทียบขนาดห้องโดยสาร
และเบาะนั่งแถวที่ 3 ของ ดีเฟนเดอร์
ในการใช้งานบนทางเรียบด้วยตัวรถเปล่าๆ แลนด์ ครูเซอร์ กินขาด แต่ถ้าเป็นการลากทเรเลอร์ที่ระบบเบรคเอบีเอสมีบทบาทสำคัญแล้ว ดีเฟนเดอร์ กลับมาโดดเด่นกว่า
ในส่วนของการซ่อมบำรุง หากอยู่นอกเมือง แลนด์ ครูเซอร์ จะกลับมาเป็นตัวเลือกอีกที
ความคุ้มค่าของมูลค่ารถ ดีเฟนเดอร์ จะได้เปรียบ แต่ แลนด์ ครูเซอร์ พลิกกลับมาที่มีราคารถมือสองดีกว่า ฉะนั้นถ้าจะเลือกซื้อคันไหนก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน และการซ่อมบำรุง
เป็นหลัก เรื่องอย่างนี้เงินใครกระเป๋าใคร ก็เลือกจ่ายกันเอาเองละครับ
เรื่องโดย : อกนิษฐ์ ทัพภะสุต 4wheels@autoinfo.co.th
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : ผลทดสอบ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/26716