ทั่วไป
เห็นยอดการขายรถยนต์ไตรมาสแรกของปีนี้แล้ว ก็ให้งงๆ อยู่ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจมันดีจริง หรือว่าค่าเงินของเรามันแข็งจนเกินเหตุ
เห็นยอดการขายรถยนต์ไตรมาสแรกของปีนี้แล้ว ก็ให้งงๆ อยู่ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจมันดีจริง หรือว่าค่าเงินของเรามันแข็งจนเกินเหตุ
เพราะยอดการขายรถไตรมาสแรกของปี มันเพิ่มสูงกว่าปีก่อนตั้ง 16.3 % ขายกันฉลุย 160,786 คัน ทั้งที่ภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตร ภาวะเงินเฟ้อ หรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ ค่อนข้างเป็นไปในแนวสับสน วุ่นวาย ราคาน้ำมันก็พุ่งปรี๊ดจนข้ามแดน 115 เหรียญสหรัฐ ฯ/บาร์เรลไปแล้ว ทำเอาราคาขายปลีกทั้งเบนซิน ดีเซล สูงกว่าลิตรละ 30 บาท จนกลายเป็นเรื่องปกติไป
มาลองดูกันในรายละเอียดว่า ช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมานี่ เราประสบกับภาวะอะไรกันบ้าง เริ่มจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงตามลำดับ มาตั้งแต่กลางปี 2548 ทำให้อัตราเงินเฟ้อ เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ทำให้การใช้จ่าย และการลงทุนชะลอตัวลง ทำเอาเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้แค่ร้อยละ 4.5 ชะลอลงมาก จากที่เคยขยายตัวร้อยละ 6.3 ในปี 2547 อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ 4.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 7,917 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ หรือร้อยละ 1.7 ของ จีดีพี
พอปี 2549 บ้านเราก็เจอปัญหาเรื่องน้ำท่วม ทั้งภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง ทำเอาพืชผลทางการเกษตรเสียหาย แถมปัญหาทางการเมือง รวมทั้งยักษ์ใหญ่เซซวน เรื่องซับพไรม์ ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์สหรัฐ ฯ การดำเนินโครงการใหญ่ของรัฐวิสาหกิจ ทำให้รายจ่ายรัฐบาล และการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นน้อยลง แต่ได้เรื่องการส่งออกเข้ามาช่วย ทำให้โดยภาพรวมทั้งปี เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 5.1 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2,174 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ แต่อัตราเงินเฟ้อยังสูงร้อยละ 4.7
ปี 2550 ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันยังคงเพิ่มสูงขึ้น และความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้การใช้จ่าย และการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แต่การใช้จ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นมาก ตามเป้าหมาย โดยรวมการส่งออก และการใช้จ่าย รัฐบาลจึงชดเชยการชะลอตัวของภาคเอกชนได้ และรวมทั้งปีเศรษฐกิจขยายตัวได้ในเกณฑ์ดี ร้อยละ 4.8 การลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี ความเชื่อมั่นนักลงทุน และประชาชนดีขึ้นช่วงปลายปี ส่วนอัตราเงินเฟ้อลดต่ำลงเป็นร้อยละ 2.3 เลยไม่ค่อยมีใครโวยวายมากนัก
มาปีนี้ โดยภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เรียกว่าขึ้นเป็นรายวัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็เพิ่มขึ้นสูงตามราคาน้ำมัน และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ฯ เนื่องจากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพ ลุกลามส่งผลกระทบไปยังตลาดการเงินยุโรป และสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินของโลกเป็นวงกว้าง
นักวิเคราะห์ในและต่างประเทศ ทยอยปรับลด คาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา จากปัญหาความตึงตัวของภาคการเงินของสหรัฐ ฯ และยุโรป อันเนื่องจากความเสียหายของหนี้ด้อยคุณภาพ และจากการเก็งกำไรในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีมากขึ้น
ก็เลยกลายเป็นความกังวลว่า ภาวะเงินเฟ้อจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของการใช้จ่ายครัวเรือน และส่งผลกระทบการลงทุน และต่อเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีรายได้น้อย และกลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้สินอยู่แล้ว จากการประมาณการของ สศช. (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)/ธปท. (ธนาคารแห่งประเทศไทย) และ สศค. (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) ที่เป็นผู้ดูแลภาวะเศรษฐกิจอยู่ขณะนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2551 จะอยู่ในช่วงร้อยละ 3.5-4.5 ราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นให้ผลดีต่อรายได้เกษตรกร แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นภาระต่อผู้บริโภคจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มภาระต้นทุนการผลิตต่อเกษตรกรเอง
ก็เอาเป็นว่า ผลกระทบราคาน้ำมัน และเงินเฟ้อต่อกลุ่มผู้บริโภค จากการศึกษาพบว่า จะทำให้รายจ่ายของประชาชนในกลุ่มที่มีรายได้ครัวเรือนต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท เพิ่มขึ้นอีก 440580 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 4.04.5 ของรายได้ ส่วนกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้เดือนละ 15,00030,000 บาท จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 800820 บาท/เดือน คิดเป็นร้อยละ 3.14.2 ของรายได้
ในส่วนของเกษตรกร ราคาน้ำมัน และวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการทำการเกษตรของเกษตรกรเพิ่มขึ้น อย่างเกษตรกรที่ปลูกข้าว ถ้าราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ย และราคาวัตถุดิบอื่นๆ ต่างก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นตันละ 59 บาท และผลตอบแทนสุทธิจะลดลงเป็นจำนวนเท่ากันแต่ถ้าราคาขายเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกับ 2 เดือนแรกของปีนี้ ร้อยละ 8.3 ผลตอบแทนสุทธิจะเพิ่มขึ้นตันละ 488 บาท ซึ่งก็จะทำให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นทอดๆ ไป กว่าจะถึงมือของเกษตรกรตัวจริง ส่วนผู้บริโภคน่ะ รับกันไปเต็มๆ เรียบร้อย
ข้าวแกงขึ้นราคาจากจานละ 25 บาท เป็นจานละ 30 บาท คิดเป็นกี่เปอร์เซนต์ไม่เห็นมีท่านรัฐมนตรีท่านไหนออกมาชี้แจงให้ฟังเลย ว่ามันขึ้นเพราะอะไร ค่าน้ำมันรถ ค่าขนส่ง ค่าวัตถุดิบ หรือเงินเดือนคนหุงข้าว มีแต่ออกเงินเหรียญ 2 บาท รุ่นใหม่มาทดแทนรุ่นเก่า ให้คนใช้มันสับสนเพิ่มขึ้นอีก เวลาจะหยิบเศษสตางค์ออกมาใช้ ทำไมข้าวแกงจากจานละ 25 บาท ถึงไม่ขึ้นเป็นจานละ 27 บาท เพราะไหนๆ ก็มีเศษสตางค์ให้ทอนแล้ว น่าแปลกเนอะ
รัฐบาลท่านก็ออกมาชี้แจงแถลงไขว่า มีความร่วมมือกับภาคธุรกิจเอกชนเพื่อไม่ให้ราคาสินค้าจำเป็นเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป จนกระทั่งประชาชนปรับตัวไม่ทัน เช่น ราคาเนื้อหมู และราคาสินค้าที่ใช้ในครัวเรือน
แต่ราคาข้าวแกงท่านไม่เห็นออกมาชี้แจงเลย
มีแต่ชี้แจงกันเรื่องราคารถ บีอาร์ที
เอ ท่าทางจะคนละเรื่องกันไปแล้ว
ไปต่อกันอีกเรื่องดีกว่า เพราะยังมองไม่ออกเหมือนกันว่า ตกลงที่ท่านว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น มันของจริงหรือของเก๊กันแน่ เพราะผู้บริโภคตาดำๆ ยังต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าใช้จ่ายเพิ่มทุกวัน ในขณะที่รายได้ยังคงเดิม มันเซ หรือมันทรุดกันแน่
มีเรื่องนำเสนออีกเรื่อง หลังจากที่เราเซ็นความตกลงเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น ไปแล้ว ผลกระทบที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ยังมองไม่ชัด ขณะนี้ ประเทศไทยเรา ตกลงที่จะเซ็นความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น เพื่อที่ฟากทางญี่ปุ่น จะต้องนำความตกลงนี้ เสนอต่อรัฐสภาของญี่ปุ่นเอง ให้ทันการประชุมครั้งสุดท้ายในเดือนพฤษภาคมนี้
นี่เป็นความร่วมมือภายใต้กลุ่มอาเซียน โดยที่ไทยเราเอง ไม่ได้เปิดตลาดสินค้าเพิ่มมากไปกว่าที่เซ็นเอาไว้ในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น ก็ถือว่า เราไม่ได้เสียอะไรเพิ่มขึ้น เพราะทำไปภายใต้กลุ่มอาเซียน เป็นเพียงกรอบกว้างๆ ที่เปิดโอกาสให้มีการเจรจากันในอนาคต ส่วนความร่วมมืออื่นๆ ทั้งการอำนวยความสะดวกทางการค้า สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ หรือเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ก็เป็นเรื่องที่ดีของเราทั้งนั้น ที่จะได้ความรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์มากขึ้น อยู่ที่ภาคเอกชนจะสามารถเก็บเกี่ยวมาได้มากขนาดไหน
โดยเฉพาะเรื่องรถยนต์ประหยัดพลังงาน มาตรฐานสากล หรือ อีโคคาร์ ที่ผลักดันกันมานาน อีก 2 ปี ก็จะมีออกมาสู่ท้องตลาดแล้ว นั่นแหละ ความก้าวหน้าของภาคเอกชนของเราอย่างแท้จริง
ถึงตอนนั้นค่อยบอกว่า เซ หรือ ทรุด ก็ยังไม่สายไปนะเนี่ย
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2547-2550
ปี 2547 2548 2549 2550
GDP (%) 6.3 4.5 5.1 4.8
การลงทุนเอกชน 16.3 10.6 3.7 0.5
การลงทุนภาครัฐ 4.7 10.8 3.9 4.0
การใช้จ่ายเอกชน 6.2 4.5 3.2 1.4
การใช้จ่ายรัฐบาล 5.7 10.8 2.3 10.8
การส่งออก 21.6 15.2 17.0 18.1
การนำเข้า 25.7 25.8 7.9 9.6
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ) 2.8 -7.9 2.2 14.9
อัตราเงินเฟ้อ (%) 2.7 4.5 4.7 2.3
ที่มา สศช.
เรื่องโดย : มือบ๊วย fomula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2551
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/26602