เทคนิค
ด้วยสภาวะที่ราคาน้ำมัน และราคาสินค้าต่างทยอยขึ้นอย่างนี้ ทำเอาเจ้าของรถจำนวนไม่น้อยถึงกับวิตกกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของราคาน้ำมัน เจ้าของรถที่จำเป็นต้องใช้รถยนต์เดินทางในการติดต่อธุรกิจต่างๆ ต้องประสบปัญหาในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น หลายๆ คนถึงกับต้องหาหนทางในการลดรายจ่ายในเรื่องนี้
ด้วยสภาวะที่ราคาน้ำมัน และราคาสินค้าต่างทยอยขึ้นอย่างนี้ ทำเอาเจ้าของรถจำนวนไม่น้อยถึงกับวิตกกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของราคาน้ำมัน เจ้าของรถที่จำเป็นต้องใช้รถยนต์เดินทางในการติดต่อธุรกิจต่างๆ ต้องประสบปัญหาในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น หลายๆ คนถึงกับต้องหาหนทางในการลดรายจ่ายในเรื่องนี้
"อุปกรณ์ประหยัดน้ำมัน" จึงดูเหมือนว่าจะกลายเป็นตัวเลือกที่ดีในการช่วยลดค่าใช้จ่าย แต่กระนั้นอุปกรณ์เหล่านี้มักมีราคาค่อนข้างแพง เพื่อให้ดูเหมือนว่ามันสามารถช่วยให้เจ้าของรถประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น แต่เจ้าของรถส่วนใหญ่หารู้ไม่ว่า มีอุปกรณ์หรือการดัดแปลงไม่กี่อย่างที่พอจะช่วยในเรื่องของความประหยัดได้มากขึ้น แต่ถ้านับเป็นเปอร์เซนต์ในเรื่องของความประหยัดแล้ว มันแทบไม่คุ้มกับเงินที่จ่ายเป็นค่าอุปกรณ์ หรือค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงเลย
สิ่งที่อยากจะบอกกับเจ้าของรถ ก็คือ รถยนต์ที่ออกมาจากโรงงานนั้นมีประสิทธิภาพในแง่ของความประหยัดอยู่แล้ว เพราะปัจจัยในการออกแบบเครื่องยนต์เน้นในเรื่องของสมรรถนะสูงสุด ควบคู่ไปกับเรื่องของความประหยัด และมลพิษที่ต่ำ ดังนั้นการจะใส่อุปกรณ์ใดๆ เพิ่มเข้าไป มันก็แทบไม่ช่วยในเรื่องของความประหยัดสักเท่าไร ถ้าไม่มีการลดรายจ่ายน้ำมันลง นั่นหมายความว่า ถ้าอุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปนั้นทำให้ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น แต่สมรรถนะโดยรวมของเครื่องยนต์ลดลง นั่นก็แสดงว่าอุปกรณ์เหล่านั้นไปทำให้เครื่องยนต์จ่ายน้ำมันน้อยลง ซึ่งโดยที่จริงแล้วอุปกรณ์เหล่านั้นไม่ได้ช่วยในเรื่องของความประหยัดเลย เพียงแต่ไปหลอกการทำงานให้เครื่องยนต์จ่ายน้ำมันน้อยลง ถ้าเครื่องยนต์ทำงานโดยมีสมรรถนะเหมือนเดิม แต่ประหยัดขึ้น ถึงจะแสดงว่าอุปกรณ์เหล่านั้นทำงานได้ผล แต่เท่าที่เคยเห็นและเคยสัมผัสมา ยังไม่เคยเจอที่เห็นผลชัดเจนเลย อาจจะมีที่ช่วยประหยัดได้บ้าง แต่ก็นับเป็นเปอร์เซนต์ได้น้อยเหลือเกิน จนคิดถึงจุดคุ้มทุนแล้วมันต้องใช้ระยะเวลา
ที่ค่อนข้างนานกว่า
อีกอย่าง การดัดแปลงในส่วนของเครื่องยนต์ และระบบเกียร์ ที่หวังว่าจะช่วยในเรื่องของความประหยัด แต่การกระทำที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจจะทำให้เกิดผลเสียตามมาโดยไม่ตั้งใจ นอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังสูญเสียสมรรถนะของตัวรถไปอีกด้วย ปัจจุบันนี้มีการพยายามดัดแปลงในเรื่องของการทดเกียร์และเฟืองท้าย เพื่อหวังที่จะให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่ารถกระบะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลนั้น เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ราวๆ 120-130 กม./ชม. รอบเครื่องจะค่อนข้างสูง ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยไม่จำเป็น หลายคนคิดว่าถ้าลดรอบเครื่องยนต์ลงได้สัก 300-500 รตน. จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น จึงพยายามที่จะลดอัตราทดเกียร์ลง เพื่อให้ลดรอบเครื่องยนต์ได้ตามที่ต้องการ เพราะเข้าใจว่าจะช่วยในเรื่องของความประหยัด เรามาดูดีกว่า ว่าทำไมการเรียงอัตราทดเกียร์ใหม่อาจจะไม่ใช่ทางเลือก หรือทางออกที่ถูกต้องนัก
ในรถกระบะทั่วๆ ไปรุ่นเกียร์ธรรมดา ส่วนใหญ่จะใช้ระบบส่งกำลังแบบ 5 จังหวะ ซึ่งเกียร์ 1-3 นั้นออกแบบมาเพื่อให้มีกำลังฉุดลากสูง เพราะต้องบรรทุก เกียร์ 4-5 ทำมาเพื่อประหยัด เวลาเราลากเกียร์ 3 สุดๆ พอยัดเกียร์ 4 เราจะรู้สึกว่ากำลังมันจะตกไปช่วงหนึ่งก่อน แล้วถึงจะรู้สึกถึงแรงดึงเหมือนเกียร์ 1-3 ยิ่งลากสุดเกียร์ 4 แล้วยัดเกียร์ 5 ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะต้องรอนานมาก กว่าความเร็วจะเพิ่ม และความเร็วสูงสุดก็ไม่ได้มากกว่าเกียร์ 4 สักเท่าไร ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาของรถกระบะกำลังสูงๆ จึงต้องมี 6 เกียร์ เพื่อให้การส่งกำลังต่อเนื่องในช่วงออกตัว และเพื่อเป็นการรักษาช่วงแรงบิดสูงสุดเอาไว้ และการเพิ่มเกียร์ 6 ขึ้นมา ทำให้อัตราทดเกียร์ 4-5-6 นั้นต่อเนื่อง ไม่มีอาการกำลังหายไปชั่วขณะหนึ่ง ในรถกระบะนั้น เกียร์ 1-2-3 ต้องการอัตราทดสูงๆ เพื่อให้ออกตัวง่ายๆ เป็นผลในเรื่องของการประหยัดน้ำมัน และลดการทำงานของเครื่อง ส่วนเกียร์ 4-5 ก็ต้องการลดรอบเครื่องยนต์ลงมา เพื่อให้ประหยัดน้ำมันในการเดินทางไกลๆ ในเกียร์เดิมแบบ 5 เกียร์ ที่มีการเรียงเฟืองใหม่เพื่อให้ความเร็วปลายรอบเครื่องลดลงนั้น ต้องไล่ใหม่ตั้งแต่เกียร์ 1 จะทำให้อัตราเร่ง และสมรรถนะในการฉุดลากลดลง โดยเฉพาะเวลาบรรทุกของหนักๆ หรือการขึ้นทางชันมากๆ
ถ้าใช้อัตราทดเกียร์ 1-3 เดิม แล้วลดอัตราทดเฉพาะเกียร์ 4 กับ 5 นั้น ยิ่งทำให้ความต่อเนื่องในการส่งถ่ายกำลังจากเกียร์ 3 ไปยังเกียร์ 4 ลดลง เมื่อใส่เกียร์ 4 แล้วจะรู้สึกว่ากำลังของเครื่องยนต์จะหายไปเลย ทำให้ขาดความต่อเนื่อง และอาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการขับขี่ลดลงมากด้วย ถ้าไล่ใหม่ตั้งแต่เกียร์ 1 สมรรถนะตั้งแต่ตีนต้นก็จะลดลงอย่างที่กล่าวไปข้างต้น สรุปว่าการเรียงเกียร์ใหม่เพื่อให้ความเร็วรอบเครื่องลดลงที่ความเร็วปลาย จะทำให้การฉุดลากและการขึ้นทางชันลดลงมาก ถ้าไม่ได้เอาไปลุย หรือบรรทุกของก็พอทำได้ครับ เพราะได้อย่างต้องมีเสียอย่างอยู่แล้ว
นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่หลายคนไม่ค่อยเข้าใจ คือ การเปลี่ยนยางให้เล็กหรือใหญ่กว่าเดิมก็มีผลต่ออัตราทดเหมือนกันครับ เส้นรอบวงยางที่ใหญ่ขึ้นเท่ากับเราลดอัตราทดเฟืองท้ายลง ถ้าคิดจะเรียงเฟืองใหม่ต้องเลือกขนาดยางที่พอใจก่อนเพื่อให้ผลคงที่ ถ้าเรียงเฟืองก่อนแล้วไปเปลี่ยนยางใหม่ ก็จะทำให้เส้นรอบวงผิดเพี้ยนไป การเรียงเฟืองที่ทำมาก็เสียเงินเปล่าครับ การจะลดรอบเครื่องลง 200-400 รอบ แบบไม่เสียเงินและไม่ต้องดัดแปลง คือ การลดความเร็วที่ใช้ลงมาอีกนิด และปรับลักษณะการขับขี่ใหม่ให้นุ่มนวลขึ้น
ผมเคยขับรถรุ่นเดียวกัน วิ่งในเส้นทางเดียวกัน คันแรกใช้ความเร็วเฉลี่ย 130-140 กม./ชม. ตามสภาพเส้นทาง อีกคันใช้ความเร็วเฉลี่ย 110-120 กม./ชม. ปรากฏว่าไปถึงปลายทาง
ใช้เวลาต่างกันราวๆ 20 นาที แต่ที่ต่างกันมากๆ คือ อัตราสิ้นเปลืองที่ต่างกันราว 200-250 บาท และผลที่ตามมาอื่นๆ คือ เครื่องยนต์ไม่สึกหรอมาก ไม่ต้องเสี่ยงโดนจับ และโอกาสเกิดอุบัติเหตุน้อยลงด้วยครับ
ทางที่ดีควรจะจับอัตราสิ้นเปลืองแต่ละช่วงความเร็วของรถตัวเองก่อน เพราะรถบางคันที่เคยเจอมาแตกต่างกันก็มี วิ่ง 130 ประหยัดกว่าวิ่ง 120 ก็มี นั่นเป็นเพราะว่าช่วง 130 นั้นรอบเครื่องอยู่ในช่วงที่มีแรงบิดพอดีๆ แต่พอวิ่ง 120 รอบเครื่องมันอยู่ในช่วงที่แรงบิดต่ำไปหน่อย ทำให้ต้องเร่งเครื่องเพื่อเลี้ยงความเร็วอยู่ตลอดเวลา ความสิ้นเปลืองมันก็จะสูงกว่าการวิ่งในย่านความเร็วลอยตัว หรือในช่วงแรงบิดเกือบสูงสุด ลองจับความรู้สึกที่เท้าขวาเวลากดคันเร่งดูนะครับ ถ้ามีความรู้สึกว่าคันเร่งเบาๆ ไม่มีอาการตื้อ แตะเพิ่มนิดหน่อยความเร็วก็เพิ่มขึ้นเลย แสดงว่าอยู่ในรอบเครื่องที่เหมาะสมพอดี แต่ถ้ากดคันเร่งแล้วมีความรู้สึกตื้อๆ และต้องรอรอบนานแสดงว่ารอบต่ำไปนิด ควรเพิ่มความเร็วขึ้นอีกนิดหน่อย ถึงจะอยู่ในรอบที่เหมาะสมที่มีความประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด
สิ่งสำคัญก็คือ ถ้าต้องการความประหยัดนั้น การเพิ่มอุปกรณ์อื่นๆ แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่สิ่งที่จะทำให้รถประหยัดเชื้อเพลิงได้มากขึ้นก็คือ ตัวผู้ขับขี่เองมากกว่า เพราะตัวรถนั้นมันแทบไม่สามารถทำอะไรให้มันประหยัดได้มากกว่านั้นอีกแล้ว ตัวเจ้าของรถเองมีผลต่อเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองได้อย่างชัดเจน พูดง่ายๆ ก็คือ การปรับลักษณะนิสัยในการขับขี่และการดูแลรักษารถให้ดี ก็จะช่วยในเรื่องของความประหยัดได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญก็คือ ไม่ต้องเสียเงินในการปรับแต่งอีกด้วย เพียงแต่ขอให้คุณมีความตั้งใจและยอมลบความเชื่อเก่าๆ แบบฝังหัวออกไปบ้าง ลองมาดูว่าอะไรบ้างที่ทำให้คุณสามารถประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นโดยไม่ต้องลงทุน...
ใช้เท้าขวาอย่างนุ่มนวล
การปรับเปลี่ยนลักษณะการขับขี่ให้ใจเย็นมากขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่ยากเย็นมากๆ เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงนิสัยของตัวเอง เคยเห็นหลายๆ คนขับรถแล้วกดคันเร่งเหมือนคนขับรถสองแถว
คือ เบิลคันเร่งเวลาเหยียบคลัทช์บ้าง หรือกดคันเร่งแล้วปล่อยแล้วกดอยู่อย่างนั้น การขับขี่ลักษณะแบบนั้นมีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองชัดเจน การปรับให้ตัวเองค่อยๆ ใช้เท้ากดคันเร่งด้วยความนุ่มนวล สามารถลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เห็นผลชัดเจน เวลาเดินทางไกลใช้ความเร็วคงที่ และกดคันเร่งแบบคงที่สม่ำเสมอ เลิกนิสัยในการขับขี่แบบกดคันเร่งเร็ว และลึก การลากรอบเครื่องยาวๆ เสียใหม่ เปลี่ยนเป็นค่อยๆ กดคันเร่ง และหาจังหวะในการแซงให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการแซง หรือขับรถแบบกระชาก จะช่วยลดการเปลืองน้ำมันลงได้มาก
แม้ว่าอาจจะต้องบังคับตัวเองเสียใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครอยากทำ พยายามเตือนตัวเองเสมอ หรือจะเขียนโนทเอาไว้ที่พวงมาลัยเลยก็ดี การกดคันเร่งอย่างสม่ำเสมอและนุ่มนวล เครื่องยนต์ยังสามารถเผาไหม้ได้อย่างหมดจด นอกจากให้กำลังเต็มที่แล้วยังสามารถลดปริมาณมลพิษจากการเผาไหม้ลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงพวกสองแถว หรือสิบล้อเก่า ที่ชอบเบิลคันเร่งตลอดเวลา การทำเช่นนี้จะก่อให้เกิดความสิ้นเปลือง อีกทั้งเครื่องยนต์ยังสึกหรอมากกว่าปกติด้วย เพราะการควบคุมคันเร่งมีผลต่อการจ่ายน้ำมันของเครื่องยนต์โดยตรง ถ้าเราควบคุมได้ดีก็เท่ากับว่าเราควบคุมการจ่ายน้ำมันได้ดีตามไปด้วย...เห็นไหมครับ ง่ายๆ ไม่ต้องลงทุน
ใช้เกียร์ให้เหมาะสม
สำหรับเกียร์ธรรมดา การเลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วนั้นมีผลมากกว่าการเอาเกียร์ไปเรียงเฟืองใหม่เสียอีก รถคุณเองที่ใช้อยู่ทุกวันจำเป็นต้องเรียนรู้ลักษณะการตอบสนองของเกียร์ด้วย นอกจากการใช้คันเร่งอย่างนุ่มนวลแล้ว ต้องใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วรอบของเครื่องยนต์ และความเร็วตัวรถ ช่วงรอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสมในการเปลี่ยนเกียร์สำหรับการใช้งานปกติธรรมดานั้น เกียร์ 1-2 จะอยู่ในช่วงประมาณ 2,000-2,500 รตน. เพราะเป็นเกียร์ต่ำที่มีอัตราทดสูง บางคนที่ชอบออกรถด้วยเกียร์ 2 ก็ควรเลิกเสีย เพราะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน และคลัทช์จะสึกเร็วกว่าปกติ จากเกียร์ 2-4 นั้นอาจจะอยู่ในช่วงรอบเครื่อง 2,500-3,000 รตน. การใช้รอบเครื่องสูงกว่านั้นไม่มีประโยชน์สำหรับการขับขี่ปกติทั่วไป (เว้นแต่ตอนเร่งแซงเท่านั้น) การใช้เกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็ว ไม่ใช่ว่าขับในระดับความเร็ว 60-70 กม./ชม. แต่รีบยัดเกียร์ 5 ซะแล้ว รถก็จะไม่ค่อยมีกำลัง แถมอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้อีกด้วย การใช้รอบเครื่องยนต์ และตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสม จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังในการฉุดลากน้ำหนักของตัวรถสบายๆ ถ้าเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ ก็ไม่ต้องห่วง ถ้ากดคันเร่งแบบนุ่มนวล เกียร์ก็จะเปลี่ยนในช่วงรอบเครื่องประมาณ 2,500-3,500 รตน. อยู่แล้ว ในโหมด NORMAL หรือ ECONOMY และเมื่อลดความเร็ว เกียร์ก็จะเปลี่ยนตำแหน่งลงมาให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ก็จะไม่สิ้นเปลืองน้ำมันโดยไม่จำเป็น คนที่ชอบเปลี่ยนเกียร์เร็ว (เปลี่ยนเกียร์ที่รอบต่ำเกินไป) เพราะคิดว่าจะได้ไม่ต้องใช้รอบเครื่องสูงๆ จะได้ไม่เปลืองน้ำมัน ก็เป็นความคิดที่ค่อนข้างผิด ส่วนพวกที่ชอบลากเกียร์ยาวๆ แม้ว่าจะให้สมรรถนะสูงสุด แต่ก็ทำให้สิ้นเปลืองสูงสุดเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนเกียร์แบบพอดีๆ เพื่อให้ทุกอย่างสมดุลกัน
เลือกเส้นทาง และเวลาที่เหมาะสม
การวางแผนโดยใช้เส้นทางที่สั้น และโล่ง โดยเลือกเวลาเดินทางที่เหมาะสม มีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองโดยตรง สามารถประหยัดน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่น้อยกว่าการปรับลักษณะการขับขี่ ยิ่งถ้าทำได้ทั้ง 2 อย่างรวมกัน จะช่วยประหยัดน้ำมันได้อย่างชัดเจน การเลือกเส้นทางที่สั้น และมีสภาพการจราจรคล่องตัวสูง หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ ถ้ามีเส้นทางที่อ้อมแต่การจราจรคล่องตัวกว่า น่าจะเลือกอย่างหลัง เพราะการจอดติดสักครึ่งชั่วโมงความสิ้นเปลืองก็มีไม่น้อย สู้ขับโล่งๆ แต่อ้อมหน่อย ยังประหยัดเวลาและไม่ต้องหงุดหงิดกับสภาพการจราจรที่ติดขัด แถมลดเวลาในการเดินทางได้อีกต่างหาก 3 หัวข้อที่กล่าวมานี้ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างชัดเจน
ลมยางอ่อนกินน้ำมัน
"เกจวัดลมยาง" ของปั๊มนั้นมักจะเชื่อถือไม่ได้ เนื่องจากมันใช้กันหลายมือมาก และไม่ค่อยทะนุถนอมสักเท่าไร มีตกมีหล่นอยู่เป็นประจำ ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการวัดแรงดัน ผลที่ตามมาไม่ว่าจะแข็งไป หรืออ่อนไป ก็ไม่ดีทั้งนั้น ถ้าแข็งไปก็ไม่มีผลกับเรื่องของความสิ้นเปลือง กลับเป็นผลดีอีกต่างหาก เพราะยางยิ่งมีแรงดันลมมากก็สามารถหมุนได้ง่าย ช่วยลดความสิ้นเปลืองได้ด้วย แต่ผลที่ตามมาก็คือ เรื่องของความกระด้าง ถ้าลมยางอ่อนไป ปัญหาที่ตามมาก็คือ เรื่องของความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเป็นอันดับแรก สองคือ พวงมาลัยหนักปั๊มเพาเวอร์ก็ทำงานหนัก เมื่อปั๊มทำงานหนัก เครื่องยนต์ก็ต้องทำงานหนักตามไปด้วย ผลที่ตามมาอีกอย่างก็คือ เรื่องของการสึกหรอของดอกยางจะผิดปกติ การแก้ไขก็คือ ลงทุนซื้อเกจวัดลมยางดีๆ สักตัว สนนราคาประมาณ 400-500 บาท อย่าเห็นว่ามันเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เพราะนี่คือความจำเป็นนะครับ และควรจะเติมลมยางในขณะที่ยางยังเย็นอยู่ ส่วนเรื่องของแรงดันลม ให้ดูจากคู่มือของรถแต่ละรุ่นเป็นหลัก ส่วนในการเดินทางไกลนั้น ควรเพิ่มแรงดันยางอีกสัก 3-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว และต้องตรวจเชคทุกๆ สัปดาห์ด้วยนะครับ
กรองอากาศสะอาด ยิ่งประหยัด
ตรวจสอบดูว่าสภาพของกรองอากาศนั้นสกปรก หรืออุดตันขนาดไหน เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ยิ่งรถที่ใช้ในเมืองควรจะหมั่นทำความสะอาดกรองอากาศเป็นประจำ เพราะในเมืองจะมีฝุ่นมาก เดี๋ยวเดียวกรองก็สกปรกแล้ว ให้ตรวจเชคกรองอากาศทุกๆ เดือน การตรวจเชคนี้ หมายถึง การทำความสะอาดด้วย หรือเวลาเอารถไปล้างก็ให้เขาถอดกรองออกมาเป่าเสียหน่อย แต่ต้องดูด้วยนะครับว่ากรองของรถคุณนั้น เป่าทำความสะอาดได้หรือไม่ ส่วนระยะเวลาที่ต้องเปลี่ยน อ่านจากคู่มือเป็นหลักจะอยู่ที่ประมาณ 40,000 กม. หรือ 48 เดือน (แล้วแต่รุ่นและยี่ห้อ) แต่เปลี่ยนเร็วกว่านั้นไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะมีผลต่อเรื่องความสิ้นเปลืองโดยตรง
เอา "สัมภารก" ออกเสียบ้าง
เลือกเอาสิ่งของที่ไม่จำเป็น จำพวกสัมภาระทั้งหลายออกไป เหลือไว้แต่สิ่งที่จำเป็นต้องใช้งาน ยิ่งมีของบรรทุกอยู่มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมากขึ้น ผลที่ตามคือ เรื่องของความสิ้นเปลือง อย่างเช่น ถุงกอล์ฟตีเสร็จแล้วก็ควรจะเอาออกเก็บไว้ที่บ้าน แบกไปแบกมา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยไม่จำเป็น
หมั่นตรวจเชคเครื่องยนต์
การรู้จักสังเกตเป็นสิ่งดี เนื่องจากจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์หาสาเหตุและปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จะสามารถแก้ไขได้ตรงจุด ควรจะรีบตรวจเชคโดยด่วน อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะค่าซ่อมอาจจะไม่กี่สตางค์ แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้นานๆ ค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอาจจะเกินค่าอะไหล่ แถมยังบั่นทอนอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้สั้นลงอีกต่างหาก โดยเฉพาะรถที่มีอายุการใช้งาน 4-5 ปีขึ้นไป ควรจะนำรถไปตรวจเชคสภาพเครื่องยนต์ และทูนอัพเครื่องยนต์ใหม่ เนื่องจากใช้งานไปนานๆ จะเกิดความคลาดเคลื่อนของอุปกรณ์ของระบบต่างๆ ค่า CO และค่า HC จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงส่วนผสมระหว่างอากาศกับน้ำมันได้ โดยปกตินั้นค่าที่วัดได้จะอยู่ในช่วงไม่เกิน 1 % ในรถเก่าที่ไม่เคยปรับทูนเครื่องยนต์เลย ค่าที่วัดออกมาได้นั้นมักจะอยู่ที่ 2-3 % ขึ้นไป ส่วนรถที่มีปัญหาเรื่องมาตรวัดอากาศเสีย และมีปัญหาปลายท่อดำมากๆ ค่าที่วัดได้มักจะอยู่ในช่วง 4-5 % ค่า CO คือ คาร์บอนมอนอกไซด์ (CARBON MONOXIDE) เป็นแกสที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น มีพิษต่อร่างกายสูง เกิดจากการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่สมบูรณ์ ยิ่งค่า CO มาก แสดงว่ามีปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงเกินความต้องการในห้องเผาไหม้มาก สมควรที่จะต้องทูนอัพโดยเร็ว
เห็นไหมครับว่า การใช้ความเอาใจใส่ กับการปรับลักษณะการขับขี่ใหม่นั้น จะช่วยประหยัดน้ำมันได้อย่างชัดเจน มากกว่าการลงทุนติดอุปกรณ์ หรือเรียงเฟืองเกียร์ใหม่ แม้ว่าอาจจะช่วยในเรื่องของความประหยัดได้บ้าง แต่ถ้าลักษณะนิสัยการขับขี่ของคุณยังเหมือนเดิม อุปกรณ์อะไรก็ช่วยไม่ได้เลย เสียเงินเปล่าๆ ฟรีๆ ขอย้ำเลยครับว่า ลักษณะการขับขี่ที่ถูกต้อง กับการดูแลรักษารถอย่างสม่ำเสมอ แค่นี้ก็ช่วยให้คุณใช้น้ำมันได้อย่างคุ้มค่าที่สุดแล้ว
เรื่องโดย : พหลฯ 30 4wheels@autoinfo.co.th
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2551
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/26296