ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในช่วงกว่า 1 ปี (ตค. 49-กย. 50) กระทรวงพลังงานได้ปฏิบัติภารกิจสำเร็จตามเป้าหมาย และมีผลงานที่สำคัญๆ อันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง สำหรับการดำเนินงานต่อไปในช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาลนั้น กระทรวง ฯ จะเร่งสานต่อโครงการสำคัญๆ เพื่อวางรากฐานการจัดหาพลังงานอย่างมั่นคงก่อนส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ต่อไป ได้แก่

กระทรวงพลังงาน แถลงผลงาน 1 ปี ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในช่วงกว่า 1 ปี (ตค. 49-กย. 50) กระทรวงพลังงานได้ปฏิบัติภารกิจสำเร็จตามเป้าหมาย และมีผลงานที่สำคัญๆ อันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง สำหรับการดำเนินงานต่อไปในช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาลนั้น กระทรวง ฯ จะเร่งสานต่อโครงการสำคัญๆ เพื่อวางรากฐานการจัดหาพลังงานอย่างมั่นคงก่อนส่งต่อให้รัฐบาลใหม่ต่อไป ได้แก่ การเร่งจัดหาแกสธรรมชาติจากแหล่งอื่นๆ ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น อาทิ การลงนามในข้อตกลงเบื้องต้นซื้อขายแกสธรรมชาติจากแหล่งสัมปทาน เอม 9 ของ ปตท. สผ. ในสหภาพพม่า ประมาณ 300-400 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน การเข้าไปเจราร่วมทุน และซื้อขายแกสทางท่อจากแหล่งนาตูนา ในอินโดนีเซีย ตลอดจนการสร้างความชัดเจนในการนำเข้าแกสธรรมชาติเหลว หรือ LNG จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กระทรวง ฯ ยังได้เร่งผลักดัน และสนับสนุนให้ บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ปฏิบัติตามสัญญาประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมในการนำโรงกลั่น SPRC เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ การปรับโครงสร้างภายในกระทรวงพลังงาน เพื่อจัดตั้งสำนักงานพลังงานจังหวัด 36 จังหวัด นอกจากนี้ การบริหารจัดการด้านพลังงานของประเทศไทยในอนาคต โดยการกำกับดูแลกิจการพลังงาน ให้เป็นอิสระแยกออกจากการเมือง การส่งเสริมระบบผลิตพลังงานและการใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่งเสริมให้กิจการลงทุนด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง แนวทางการติดฉลากบอกประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ในอุปกรณ์ไฟฟ้า รถยนต์ และบ้านที่อยู่อาศัย การส่งเสริมระบบงานวิจัยด้านพลังงานให้เป็นระบบ ตลอดจนการกำหนดโครงสร้างราคาพลังงานของประเทศให้เหมาะสม และเป็นธรรม สำหรับผลงานของกระทรวงพลังงาน ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา แบ่งออกเป็น 7 ด้าน ได้แก่ 1. การปรับโครงสร้างการบริหารกิจการพลังงานให้เหมาะสม ด้วยการแก้ไขกฎหมาย/สัญญา เพื่อวางรากฐานในระยะยาว 2. การจัดหาพลังงาน เพื่อความมั่นคงของประเทศ ผลงานที่สำคัญ อาทิ อนุมัติแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือ PDP 2007 และแผนจัดหาแกสธรรมชาติในระยะยาว สรุปผลสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 19 พร้อมทั้งออกสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 20 เป็นต้น 3. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศ ได้แก่ การจัดสรรเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลิตรละ 70 สตางค์ เพื่อสนับสนุนการก่อสร้างโครงการด้านระบบขนส่งมวลชน ระบบราง และระบบน้ำ ริเริ่มการอนุรักษ์พลังงานโดยการประมูลแข่งขัน (DSM BIDDING) 4. การพัฒนาพลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับประเทศ 5. การปรับโครงสร้างราคาพลังงาน 6. การผลักดันพลังงานสะอาด ได้แก่ การออกระเบียบจัดการไอระเหยน้ำมัน ในคลังน้ำมัน รถขนส่ง และสถานีบริการน้ำมัน การกำหนดมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นมาตรฐาน EURO 4 (ในอีก 5 ปีข้างหน้า) และ 7. การสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการวางแผนพลังงาน กระทรวงพลังงานได้ขยายผลการจัดทำแผนพลังงานชุมชน 80 ชุมชน ในทุกจังหวัดทั่วประเทศในปี 2550 เช่น ไบโอดีเซลชุมชน และระบบแกสชีวภาพ เป็นต้น ปตท. จัดงาน ANGVA 2007 ดร. จิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจสำรวจ ผลิต และกาซธรรมชาติ ปตท. ในฐานะนายกสมาคมกาซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ไทย เป็นประธานจัดงาน ANGVA 2007 (THE 2 th ANGVA NATURAL GAS VEHICLES CONFERENCE & EXHIBITION FOR ASIA PACIFIC) หรือ งานแสดงอุตสาหกรรมเทคโนโลยี กาซธรรมชาติสำหรับยานยนต์และการประชุมสัมมนาแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ครั้งที่ 2 วัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย โดย ปตท. เป็นผู้นำการส่งเสริมการใช้ NGV ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ดำเนินธุรกิจ NGV ในเวทีโลก รวมถึงการเป็นศูนย์กลางในการนำนวัตกรรมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี NGV ภายในงานประกอบด้วย การประชุมสัมมนา กำหนดรูปแบบงานภายใต้แนวคิด THE FUTURE IS NOW นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ของกาซธรรมชาติเพื่อยานยนต์ อีกทั้งยังเป็นการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ของผู้ประกอบการ หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ NGV และการแสดงนิทรรศการนวัตกรรมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม NGV จำนวน 187 แห่ง จาก 28 ประเทศทั่วโลก อาทิ อิตาลี อาร์เจนตินา จีน เกาหลี สหรัฐอเมริกา อินเดีย แคนาดา ฝรั่งเศส อิหราน และไทย นอกจากนี้ ANGVA ได้จัดโครงการ GREEN HIGHWAY โดยสมาชิกจะเดินทางมาร่วมงาน ANGVA 2007 โดยรถยนต์รูปแบบคาราวาน NGV เพื่อแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของประเทศสมาชิก ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทาง EAST ROUTE เริ่มจากด่านศุลกากรเชียงของ จ. เชียงราย ถึงกรุงเทพ ฯ รวมระยะทาง 700 กม. และเส้นทาง SOUTH ROUTE เริ่มตั้งแต่ ด่านศุลกากรสะเดา จ. สงขลา ถึงกรุงเทพ ฯ ระยะทาง 1,100 กม.