ทั่วไป
วันก่อนนี้มีโอกาสไปเยี่ยมสถานีโทรทัศน์ "TITV" เพื่อนพ้องในวงการสื่อด้วยกัน นับเป็นห้วงเวลาแห่งการว่างเว้นไม่ได้มาที่นี่หลายปี ครั้งสุดท้ายที่เข้ามาก็เป็นวาระช่วยเหลืออุบัติภัยคลื่นยักษ์ "สึนามิ"
วันก่อนนี้มีโอกาสไปเยี่ยมสถานีโทรทัศน์ "TITV" เพื่อนพ้องในวงการสื่อด้วยกัน นับเป็นห้วงเวลาแห่งการว่างเว้นไม่ได้มาที่นี่หลายปี ครั้งสุดท้ายที่เข้ามาก็เป็นวาระช่วยเหลืออุบัติภัยคลื่นยักษ์ "สึนามิ"
แม้จะเห็นเป็นเพียงบางส่วน แต่ก็รู้สึกว่าเสียดายความเป็น ไอทีวี ที่กำลังจะเปลี่ยนพันธุ์ใหม่เป็นทีวีสาธารณะ
ผมมีโอกาสได้คุยกับ คุณอัชฌา สุวรรณปากแพรก ผู้อำนวยการฝ่ายข่าว ท่านมีหน้าที่แบกพรรคพวกเพื่อนพ้องน้องพี่ในชายคาเดียวกันทั้งสองบ่าไหล่
เพราะเนื่องมาจากความผันผวนทางการเมือง และทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องยึดคลื่นคืนไปตั้งแต่เดือนมีนาคมที่แล้ว
ในตอนหนึ่งคุณอัชฌาได้เอ่ยถึงบริษัทชิน คอร์ป ฯ และยกย่องว่า ชิน คอร์ป ฯ เป็นองค์กรที่สร้างคนโดยแท้จริง
ผมรู้สึกสนใจ และเป็นหัวข้อใหม่ที่ผมเพิ่งเคยได้ยิน ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดว่า คนเราจะสามารถปั้นกันขึ้นมาได้มัวไปยึดติดว่า WHATEVER WILL BE, WILL BE. เลยไม่รู้ว่า การสร้างคนเป็นคอร์สที่สามารถทำได้ และได้เป็นอย่างดี
แน่นอนครับ หลักสูตรอะไรก็ตาม ย่อมต้องมีการลงทุน มีค่าดำเนินการ และต้องใช้วงเงินสูง
เมื่อคุณอัชฌาพูดเรื่องนี้ ผมก็เชื่อว่า เป็นงานที่ ชิน คอร์ป ฯ สามารถทำได้โดยไม่มีปัญหา
สร้างคนให้เป็นอย่างไร และก็คงจะเป็นอย่างไรไปไม่ได้ นอกเสียจากให้เป็นนักบริหาร เป็นผู้นำขององค์กร
ผู้นำของสถาบัน
กลับมาถึงบ้าน ย้อนคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็พบว่า สาระความสำคัญของคนที่มีคุณค่านั้น มิใช่เป็นของใหม่ แต่มันมีมานานแล้ว แม้ในตำราพิชัยสงครามยังมีคำกล่าวที่ว่า
"กองทัพย่อมมีขุนพลเป็นหลัก แม้นขุนพลซึมเศร้า เหล่าทหารย่อมไม่มีจิตใจสู้รบ"
หนังสือ "สามก๊ก" มีตัวละครหลายตัว สามารถเอามาอ้างอิงในความเป็นผู้นำได้หลายตอน เช่น ในตอน "ตันเซ็ก เสียที สุมาอี้"
เป็นเรื่องที่ ตันเซ็ก กับ อุยเอี๋ยน เคลื่อนทัพโดยพลการ ไม่ฟังคำสั่ง ขงเบ้ง ยกพลติดตาม สุมาอี้ ไป ถูกกองทัพของ สุมาอี้ ซุ่มเข้าล้อมตี
"ไพร่พลห้าพันคน เหลือเพียงทหารที่บาดเจ็บสักสี่ห้าร้อยเท่านั้น กองทหารวุยก๊กก็ยังไล่ตามตีมา ประจวบเหมาะกับเตาเชงเตียวหงีนำนำทหารออกไปต้านรับช่วยไว้ได้ ทหารวุยก๊กถอยร่นกลับไป ตันเซ็ก อุยเอี๋ยน จึงว่าท่านขงเบ้งรู้กาลล่วงหน้าดั่งเทพยดา"
และในอีกตอนหนึ่งจาก "สามก๊ก" เช่นเดียวกัน
ครั้งนั้น สุมาอี้ ตั้งทัพยัน ขงเบ้ง ไว้ที่เขากิสาน อันยุทธศาสตร์ของฝ่าย วุยก๊ก ก็คือ ต้องการซื้อเวลา ในขณะที่ฝ่าย จ๊กก๊ก ต้องรีบเผด็จศึกโดยเร็ว สุมาอี้ จึงตั้งค่ายมั่นคง ไม่ยอมออกไปรบฝ่ายขงเบ้ง ร้อนใจ พยายามยั่วยุด้วยประการทั้งปวง ถึงขนาดส่ง ผ้าซับในกางเกงสตรีกับหนังสือเยาะเย้ยถากถาง ส่งไปให้ สุมาอี้ ด้วยหวังให้ สุมาอี้ บังเกิดความโกรธแล้วยกทัพออกมารบกันให้รู้แพ้รู้ชนะ
สุมาอี้ อ่านกลยุทธ์ข้อนี้ออก แต่บรรดาขุนทหารใต้บังคับบัญชาไม่เข้าใจ พากันเรียกร้องขอออกไปรบกับ ขงเบ้ง
สุมาอี้ คร้านจะห้าม จึงอ้างคำสั่งของ โจยอย ว่า
"อันการที่เรานิ่งอยู่นี้หาใช่เพราะกลัวขงเบ้งไม่ แต่ด้วยมีรับสั่งพระเจ้าโจยอยห้ามไว้ เราจึงไม่ออกรบพุ่ง แม้ท่านทั้งหลายทั้งปวงจะตั้งใจอาสาทำการสงครามก็ให้งดอยู่ เราจะขอบอกไปให้กราบทูลพระเจ้าโจยอยก่อน"
ความจริง สุมาอี้ ก็อ้างไปอย่างนั้นเอง ตามวิสัยของผู้นำกองทัพ เพราะโดยตำแหน่งสุมาอี้ก็เป็นแม่ทัพใหญ่ ถืออาญาสิทธิ์โดยชอบอยู่แล้ว จะรุกหรือจะยันก็เป็นหน้าที่ของสุมาอี้ต้องตัดสินใจเอง
แต่เมื่อต้องขอพระราชโองการก่อน พระเจ้าโจยอยทรงทราบความหมายดี จึงมีคำสั่งว่า
"อย่าออกรบ แต่จงรักษาค่ายไว้ให้มั่นคง"
ขุนทหารทั้งปวงจำต้องฟังพระราชโองการ ยอมยันไม่ออกรบ
คำกล่าวอ้างของ สุมาอี้ เป็นผลแก่กองทัพ เพราะเมื่อไม่สามารถโน้มนำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเห็นคล้อยตามได้ การอ้างถึงผู้บังคับบัญชาที่สูงกว่าก็เป็นผล
ในชีวิตของผมที่ผ่านมา ได้พบคนไทยที่มีคุณค่าแห่งความเป็นคนมาก ทั้งในวงการสื่อด้วยกันและในวงการอื่นๆ ของสังคมไทย
ผมมีความเคารพนับถือคุณวิมล พลกุล อดีตหัวหน้ากองบรรณาธิการ เสียงอ่างทอง และไทยรัฐ เช่นเดียวกับที่ผมเคารพนับถือความเป็นผู้นำของคุณสุเทพ เหมือนประสิทธิเวช กัปตันใหญ่ของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ในวงการธุรกิจ ผมมีความนับถือ ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์ ผู้นำหนุ่มของกลุ่มสิทธิผลเซลส์ ฯ
คุณวัชระเคยเป็นผู้นำทางการบริหารจัดการของค่ายรถยนต์ มิตซูบิชิ จนกระทั่งโลกแห่งยนตรกรรมเปลี่ยนโฉมหน้าไปแทบทุกค่าย
ปัจจุบัน ท่านเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นกรรมาธิการและเลขานุการ คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ
ตำแหน่งสำคัญที่ผมรู้สึกภูมิใจในความเป็นคนไทยก็เห็นจะเป็นการที่ ดร. วัชระ ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานสภาเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (PBEC: PACIFIC BASIN ECONOMIC COUNCIL) องค์กรที่ไม่แสวงหากำไรซึ่งก่อตั้งมานานถึง 40 ปี
ท่านเป็นคนไทยคนเดียวที่ได้อยู่ในตำแหน่งสูงขององค์กรนี้ ร่วมกับบอร์ดผู้บริหารซึ่งเป็นคนต่างประเทศอีก 12 คน
ระหว่างปีที่แล้ว ดร. วัชระ มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยก่อนหน้านี้ระหว่างปี 2546-2548 ท่านก็เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผลักดันงานสำคัญๆ ของชาติไปสู่โลกภายนอก แม้กระทั่งความพยายามในการผลิตรถอีโคคาร์ หรือการตั้งเป้าให้กรุงเทพ ฯ เป็น ดีทรอยท์ออฟเอเชีย
งานระดับโลกอันหนึ่ง ซึ่งผมเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย คือ ดร. วัชระ พรรณเชษฐ์ ได้เป็นประธานจัดการประชุม เอเปค ซีอีโอ ซัมมิท ในปี 2546
ซึ่งดร. วัชระ บริหารดำเนินการได้เป็นอย่างดี ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศที่เข้ามาร่วมการประชุมที่กรุงเทพ ฯ
ดร. วัชระ เป็นนักบริหารหนุ่ม และท่านก็มีเพื่อนพ้องที่เป็นนักบริหารระดับเดียวกันอีกหลายท่าน
ผมมั่นใจว่า คุณค่าของ ดร. วัชระ เป็นบทที่น่าศึกษา ความสามารถของคนที่เป็นผู้นำจะอยู่ได้ในระดับใดก็ต้องมองที่ผลงาน
และจากบทศึกษาผลงานในอดีต ย่อมสะท้อนให้เห็นเส้นทางแห่งอนาคตว่าเป็นอย่างไร
ขณะนี้ การเมืองไทยยังคงเดินหน้า วันหนึ่งเราก็ต้องมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง และมีรัฐมนตรีทั้งว่าการและช่วยว่าการ
ในตำแหน่งเหล่านั้น ผมยังคิดว่า ดร. วัชระ พรรณเชษฐ์ อาจถูกหมายปองไม่ตำแหน่งใดก็ตำแหน่งหนึ่งเป็นแน่
เรื่องโดย : บรรเจิด ทวี
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/14493