ท่องเที่ยว
ย่างเข้าหน้าฝนที่ผ่านมา "4 WHEELS" ถูกเทียบเชิญเป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวจากประเทศไทย ร่วมกับเพื่อนสื่อมวลชนชาวต่างประเทศอีก 12 คน ได้แก่ แคนาดา/สหรัฐอเมริกา/ฮอลแลนด์/ฝรั่งเศส/เซาธ์แอฟริกา/ออสเตรเลีย/อิตาลี/เยอรมนี และสเปน เข้าร่วมงาน "ARB OUTBACK EXPERIENCE" ได้ชมทั้งโรงงาน เออาร์บี ที่ประเทศออสเตรเลีย พร้อมตะลุยทะเลทราย ใช้รถหลากรุ่น หลายยี่ห้อ ที่ติดตั้งอุปกรณ์เสริมสมรรถนะของ เออาร์บี แบบเต็มพิกัด
ย่างเข้าหน้าฝนที่ผ่านมา "4 WHEELS" ถูกเทียบเชิญเป็นตัวแทนเพียงหนึ่งเดียวจากประเทศไทย ร่วมกับเพื่อนสื่อมวลชนชาวต่างประเทศอีก 12 คน ได้แก่ แคนาดา/สหรัฐอเมริกา/ฮอลแลนด์/ฝรั่งเศส/เซาธ์แอฟริกา/ออสเตรเลีย/อิตาลี/เยอรมนี และสเปน เข้าร่วมงาน "ARB OUTBACK EXPERIENCE" ได้ชมทั้งโรงงาน เออาร์บี ที่ประเทศออสเตรเลีย พร้อมตะลุยทะเลทราย ใช้รถหลากรุ่น หลายยี่ห้อ ที่ติดตั้งอุปกรณ์เสริมสมรรถนะของ เออาร์บี แบบเต็มพิกัด
ถ้าแปลตรงตัวแล้ว คำว่า OUTBACK EXPERIENCE หมายถึง การใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร แต่สิ่งที่ได้กลับมานอกเหนือจากการใช้ชีวิตในทะเลทราย นั่นคือ เรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น รวมถึงการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
วันแรก
เมื่อเราไปถึงออสเตรเลีย ในช่วงเย็นมีการเลี้ยงต้อนรับคณะผู้มาเยือน จากคณะผู้จัดงาน และพักผ่อนเอาแรงตามอัธยาศัย
วันที่ 2
เราได้เข้าชมโรงงาน พร้อมสนทนากับคณะผู้บริหารและกรรมการบริษัท เออาร์บี ในเมลเบิร์น เพื่อชมการผลิตอุปกรณ์เสริมสมรรถนะของผลิตภัณฑ์ เออาร์บี โดยละเอียด อย่างเช่น กันชนหน้า บูลล์บาร์/วินช์บาร์ ช่วงล่าง แอร์ลอคเกอร์ ปั๊มลมติดรถ ฯลฯ รวมถึงห้องออกแบบผลิตภัณฑ์ ทั้งยังได้ร่วมชม และฟังเทคนิค และวิธีการออกแบบชิ้นส่วนต่างๆ ให้มีคุณภาพ
จากนั้นเดินทางต่อโดยเครื่องบินเล็กภายในประเทศไปที่เมืองมิลดูรา (MILDURA) เพื่อรับรถที่ใช้ในการเดินทางตลอด 12 วัน มีทั้งหมด 8 คัน ได้แก่ โตโยตา ธันเดอร์/จีพ เจเค แรงเลอร์/โตโยตา แลนด์ ครูเซอร์ 79/โตโยตา แลนด์ ครูเซอร์ 100/แลนด์ โรเวอร์ ดิสคัฟเวอรี 3/โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก/โตโยตา เอฟเจ ครูเซอร์ และฟอร์ด เอฟ 250 รถที่กล่าวมานี้ ส่วนมากจะได้รับการปรับเปลี่ยนช่วงล่างเดิมที่ติดมาจากโรงงาน มาเป็นของ OLD MAN EMU กันชนหน้า เปลี่ยนเป็นวินช์บาร์ของ เออาร์บี ติดรอกไฟฟ้าของ WARN ติดสปอทไลท์ของ IPF มีแอร์ลอคเกอร์หน้า/หลังของ เออาร์บี ที่ใช้ร่วมกับปั๊มลมรุ่นใหม่ ที่สามารถปั๊มลมได้มากกว่ารุ่นเก่า นอกจากนี้ยังมีชุดสนามของ เออาร์บี เช่น เทนท์บนหลังคารถ พร้อมอุปกรณ์แคมพิง ติดตั้งช่วงพื้นที่ด้านหลังรถ ไม่ว่าจะเป็นรถกระบะ หรือรถแวน และยังมีตู้เย็นที่สามารถแช่เครื่องดื่มให้เย็นฉ่ำได้ตลอดการเดินทาง
เราเดินทางไปที่เมืองโบรเคน ฮิลล์ (BROKEN HILL) ซึ่งเป็นเขตศูนย์กลางในการทำเหมืองแร่ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะมีแร่หลายประเภท เช่น เงิน/ตะกั่ว และสังกะสี จนได้รับสมญานามว่า ซิลเวอร์ ซิที (SILVER CITY) ช่วงนี้เดินทางด้วยรถ โตโยตา ธันเดอร์ ซึ่งให้ความรู้สึกในการขับขี่ที่ดีมาก ไม่นุ่ม และไม่กระด้างจนเกินไป
วันที่ 3
เราออกเดินทางจากเมืองโบรเคน ฮิลล์ มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง คือ แคเมรอน คอร์เนอร์ (CAMERON CORNER) ทางที่วิ่งผ่านเป็นดินลูกรังกว้างประมาณ 7-8 เมตร ภาพที่เรามองเห็นเบื้องหน้าจะเป็นเหมือนเส้นขอบฟ้ามองไกลสุดลูกหูลูกตา และแวะทานอาหารเช้าที่ เอลดี สเตชัน (ELDEE STATION) ที่นี่ทำให้รู้ว่า ประเทศออสเตรเลียมีแมลงวันเยอะมากไม่แพ้บ้านเรา
เสร็จจากทานอาหาร ต่างแยกย้ายกันเชคลมยาง เติมน้ำมันรถ เรียบร้อยจึงออกเดินทาง ตอนนี้ผมได้มีโอกาสทดลองขับ โตโยตา แลนด์ ครูเซอร์ 100 ใช้ความเร็วในการวิ่งบนพื้นลูกรังประมาณ 120 กม./ชม. รู้สึกมั่นใจมากขึ้นกว่าระบบรองรับแบบเดิมๆ แม้บางช่วงจะผ่านสภาพพื้นผิวเป็นเนิน ลูกระนาด สลับกัน แต่นั่นหมายถึงว่า ต้องควบคุมบังคับรถให้อยู่ในความเร็วที่เหมาะสมด้วย
เราพักทานกลางวันกันที่ แพคแซดเดิล (PACKSADDLE) ที่ วันทรี สเตชัน (ONE TREE STATION) ซึ่งเป็นไร่ปศุสัตว์ และฟาร์มเลี้ยงแกะที่ใหญ่มาก ที่นี่มีรั้วกั้นหมาป่าที่ยาวที่สุดในโลก คือ 6,000 กม. จากนั้นกินอาหารค่ำที่ ทไร สเตท (TRI STATE) และแวะพักที่ คอร์เนอร์ สโตร์ (CORNER STORE)
วันที่ 4
รับประทานอาหารเช้าสไตล์ดั้งเดิมของคนพื้นเมืองที่ คอร์เนอร์ สโตร์ ก่อนออกเดินทางไปที่ อินนามิงคา (INNAMINCKA) โดยใช้เส้นทาง ธิ โอลด์ สเตรเซเลกคี (THE OLD STRZELECKI) หลังอาหารเช้าผมได้สัมผัสกับ จีพ เจเค แรงเลอร์ ซึ่งเป็นรุ่นใหม่อีกเหมือนกัน ระบบรองรับออกแบบใหม่ เพราะเป็นคอยล์สปริง แทนแผ่นแหนบทั้ง 4 ล้อ ความรู้สึกที่ได้รับจะนุ่มนวลกว่าเดิม ขับในทางลูกรังสนุกมาก ตัวรถช่วงสั้น ให้ความรู้สึกเหมือนขับโกคาร์ท
พวกเรามีความสุขกับการพิคนิคทานอาหารกลางวันริมลำธารที่ คูเพอร์ ครีค (COOPER CREEK) ซึ่งสวยงามมาก ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ มีตำนานเล่าขานถึงนักเดินทางที่เสียชีวิตระหว่างทาง เนื่องจากหลงทางและเสบียงหมด จากนั้น เราเดินทางต่อไปที่ วอลเคอร์'ส ครอสซิง ทแรค (WALKER'S CROSSING TRACK) เพื่อตั้งแคมพ์สำหรับพักแรม มื้อค่ำของคืนนี้เรามีโอกาสได้รับประทานเนื้อจิงโจ้แสนอร่อย
การนอนกลางทะเลทราย
อากาศยามค่ำคืนจะหนาวเหน็บ ต่างจากกลางวันที่ร้อนตับแลบ ถุงนอนอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ทางเลือกที่น่าสนใจ คือ สแวก (SWAG) เป็นชื่อเรียกของเทนท์ ลักษณะพอดีตัว พื้นที่ภายในมีจำกัด ต้องสอดตัวเข้าไป แต่นอนสบาย เพราะมีที่รองนอนอย่างหนา และกันน้ำได้ดี
วันที่ 5
เราออกเดินทางไป เบิร์ดส์วิลล์ ทแรค (BIRDSVILLE TRACK) ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. แวะทานอาหารกลางวันที่ เบิร์ดส์วิลล์ เบเกอรี (BIRDSVILLE BAKERY) เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่างทะเลทราย 2 แห่ง คือ ทะเลทรายซิมพ์ซัน (SIMPSON DESERT) และทะเลทรายสตวร์ท'ส์ สโตนี (STURT'S STONY DESERT)
เดิมเมืองนี้เป็นศูนย์กลางเส้นทางการส่งสินค้าปศุสัตว์ ปัจจุบันกลายเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว ช่วงนี้ได้ขับ โตโยตา เอฟเจ ครูเซอร์ ซึ่งเป็นรถต้นแบบที่นำเข้ามาเพื่อทดลองติดตั้ง ทดสอบอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนการผลิตจริง ความรู้สึกที่ได้รับจากระบบรองรับที่เป็นต้นแบบ นับว่าใช้ได้ กับพื้นที่นอกถนนดำ เพียงแต่บางช่วงจะนุ่มเกินไป ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของ เออาร์บี กำลังปรับปรุงแก้ไข ก่อนที่จะมีการผลิตจริง
ช่วงบ่ายได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ AMAZING BIRDSVILLE WORKING MUSEUM มีของโบราณให้เห็นอยู่มาก คืนนี้เราพักที่โรงแรม เบิร์ดส์วิลล์ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1884 เป็นโรงแรมสไตล์ออสเตรเลียนของแท้ บ่งบอกถึงความเป็นเนื้อแท้ และกลิ่นอายของความทุรกันดารได้เป็นอย่างดี
วันที่ 6
เรามีแผนจะพิชิตเนินทรายให้ได้ แต่ก่อนออกเดินทางสิ่งที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ ต้องติดธงสูง เพื่อความปลอดภัย ให้รถคันอื่นเห็นเราได้ง่ายขึ้น วันนี้ผมขับรถ แลนด์ โรเวอร์ ดิสคัฟเวอรี 3 คันนี้ใช้ระบบรองรับเดิมๆ ที่เป็นถุงลม แต่ใส่อุปกรณ์อย่างอื่นเพียบ
หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่ เบิร์ดส์วิลล์ เรามุ่งสู่จุดหมาย คือ บิกเรด (BIG RED) สถานที่ที่เราจะต้องเอาชนะเนินทรายอันสูงชันในทะเลทรายซิมพ์ซัน ด้วยความสูงถึง 36.5 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล วันนี้จึงถือว่าเป็นวันที่ขับรถค่อนข้างลำบาก หลายคนมีโอกาสได้ทดลองขับรถบนทะเลทราย และรางวัลสำหรับความเหน็ดเหนื่อยของคืนนี้ คือ การได้ตั้งแคมพ์ทานอาหารภายใต้แสงดาว
เทคนิคการขับรถในทะเลทราย
ก่อนเข้าพื้นที่ต้องเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินทุกอย่างให้พร้อม ที่สำคัญต้องมีการปักธงสูง สีสันสะดุดตาไว้หน้ารถ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดในทะเลทราย เพราะเนินสันทรายจะบดบังตัวรถ ทำให้ทัศนวิสัยในการมองไม่ชัดเจน
วันที่ 7
เดินทางด้วยรถคันเดิม เรามุ่งหน้าต่อไปทางตะวันตก และล่องลงใต้ ผ่านทะเลทรายซิมพ์ซัน บนเส้นทาง วอร์เบอร์ทัน ทแรค (WARBURTON TRACK) แต่ปรากฏว่าน้ำท่วมกะทันหัน ไม่สามารถเดินทางต่อได้ เราจึงย้อนกลับทางเก่า คือ เส้นทาง ธิ โอลด์ สเตรเซเลกคี สู่จุดหมายที่โรงแรม มุนเกอร์รันนี (MUNGERANNIE HOTEL)
วันที่ 8
เราเดินทางจาก มุนเกอร์รันนี สู่ แมร์รี (MARREE) จากที่นี่เราผ่าน ลินด์เฮอร์สต์ (LYNDHURST) เป็นเมืองที่มีทางรถไฟสายประวัติศาสตร์ แวะหยุดพักทานอาหารกลางวันที่ พแรรี (PRAIRIE) ใน พาราชิลนา (PARACHILNA) เป็นอาหารป่าสไตล์ออสเตรเลียนแท้ๆ
ช่วงบ่าย ขับผ่านช่องแคบ พาราชิลนา เราเห็นภาพที่สวยงามจากตรงนี้ ไม้สีแดง และหน้าผาสูงชัน จากนั้นเราผ่านไปที่ บลินแมน (BLINMAN) เมืองที่เป็นเหมืองแร่ทองแดงเก่า ล้อมรอบด้วยไร่ปศุสัตว์เก่าแก่ วิร์รีอัลพา สเตชัน (WIRREALPA STATION) สถานที่พักแรมของเรา 2 คืน และมีความสุขกับอาหารค่ำสไตล์เอาท์แบคของจริง โดยฝีมือการทำอาหารของครอบครัวฟาร์เกอร์
วันที่ 9
ผมขับรถ โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก ระบบรองรับที่ต้องยก 2 นิ้ว ให้ตัวได้ดี นุ่มนวลสไตล์ โตโยตา เราขับรถเล่นกันในพื้นที่ของครอบครัวฟาร์เกอร์ บนเส้นทางที่ขรุขระ และมีเส้นทางผสมผสานกันหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ชั้นหิน/ความสูงชัน และพื้นผิวที่ขรุขระ หรือแม้แต่เนินทราย แต่ละคนได้ใช้ทักษะส่วนตัวในการขับปีนป่ายขึ้นไปตามก้อนหิน ช่วงบ่ายเข้าชมโรงตัดขนแกะอันเก่าแก่ พร้อมชมการสาธิตตัดขนแกะจากเจ้าของสถานที่ เราพักค้างคืนอยู่ที่ไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ อาหารค่ำแบบออสซี เป็นบาร์บีคิวแสนอร่อย อีกครั้งกับครอบครัวฟาร์เกอร์ วันนี้มีฝนโปรยปรายมาตลอดทั้งวัน ตกๆ หยุดๆ จนถึงตอนเย็น
วันที่ 10
ก่อนออกเดินทางจาก วิร์รีอัลพา สเตชัน เรามีโอกาสนั่งเครื่องบินเล็ก (ขนาด 4 ที่นั่ง) ชมทิวทัศน์โดยรอบอาณาเขตที่เป็นของครอบครัวฟาร์เกอร์ แล้วมุ่งหน้าไป โบรเคน ฮิลล์ โดยใช้เส้นทาง ฮอว์เคอร์ (HAWKER) และออร์โรรู (ORROROO) ซึ่งเป็น 2 ชุมชน ทำไร่ และฟาร์มปศุสัตว์
รับประทานอาหารกลางวันที่ คแรดดอค (CRADDOCK) ที่มีชื่อเสียงว่าอาหารอร่อย แถมวิว 2 ข้างทางไปโรงแรมสวยงามมาก เรากลับถึง โบรเคน ฮิลล์ บ่ายแก่ๆ ช่วงหัวค่ำมีการแสดงของเด็กที่แสดงเป็นชนเผ่าพื้นเมือง มีเครื่องดนตรีเป่า ที่เรียกว่า ดิดเจอรีดู เป็นการแสดงพร้อมการเต้นรำแบบพื้นเมืองโบราณ ต้อนรับแขกต่างบ้านต่างเมือง และในคืนนี้เอง ทราบจากคณะผู้จัดการแข่งขันว่ามีนักแข่งชาวไทย 2 คันไปร่วมแข่งขันในงานนี้
วันที่ 11
ผมไม่ได้ขับ แต่โดยสารไปกับเพื่อนสื่อขับ ฟอร์ด เอฟ 250 ระบบรองรับนุ่มนวล ใช้ได้ เราเดินทางไปที่ศูนย์ควบคุมการแข่งขัน เอาท์แบค ชาลเลนจ์ (OUTBACK CHALLENGE) เพื่อฟังผลการแข่งขันว่าถึงสถานีไหนแล้ว เพื่อที่เราจะสามารถเข้าไปร่วมชมริมขอบสนามได้ เมื่อรู้ตำแหน่งเราไม่รอช้า รีบออกเดินทางสู่สถานีที่ทำการแข่งขันทันที
การเข้าพื้นที่ต้องขับรถสไตล์โฟร์วีลดไรฟ และรถที่เข้าแข่งขันต้องพร้อมทุกอย่าง อุปกรณ์ช่วยเหลือต้องมีครบ ที่นี่เราจะได้เห็นความพยายาม/การชิงชัย รวมถึงการผลักดันตัวเองของนักแข่งทั้งหลาย เพื่อให้ผ่านพ้นข้อจำกัดในแต่ละสถานี เพื่อไปให้ถึงเส้นชัย
แต่แล้วการแข่งขันก็ต้องหยุดลง เมื่อฝนเกิดตกหนัก
วันสุดท้าย
เรากลับไปที่ศูนย์ควบคุมการแข่งขันอีกครั้ง เพื่อรอฟังว่า วันนี้สามารถเข้าร่วมชมที่ใดได้อีก แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะฝนที่ตกหนักเมื่อคืนนี้ ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง นอกจากการแข่งขันจะต้องยุติแล้ว นักแข่ง กรรมการ และเจ้าหน้าที่ต่างๆ รวมถึงรถแข่ง ไม่สามารถออกมาจากพื้นที่ได้ เพราะน้ำท่วม ต้องรอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยทางอากาศ และเช่นเดียวกัน ในขณะนั้นทีมไทยก็ยังทำคะแนนนำอยู่ แต่ต้องรอประกาศผลอย่างเป็นทางการเสียก่อน
วันนี้เราจำเป็นต้องออกเดินทางจากเมืองโบรเคน ฮิลล์ กลับไปที่เมลเบิร์น ระยะทางประมาณ 800 กม. ระหว่างทางเรานอนพักค้างคืน เช้าวันต่อมาจึงออกเดินทางต่อจนถึงจุดหมาย คือ เมลเบิร์น
วันรุ่งขึ้น ถึงเวลาที่ผมต้องอำลาจากเมลเบิร์น ประสบการณ์ดีๆ ตลอด 12 วัน ที่มีทั้งความสนุก ตื่นเต้น และความท้าทาย สิ่งเหล่านั้นจะคงอยู่ในความทรงจำที่ดีของผมตลอดไป
เรื่องโดย : สราวิทย์ วานิชสมบัติ/ปาจรีย์
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน กันยายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : ท่องเที่ยว
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/14421