ผลงานชิ้นล่าสุดของค่ายใบพัดเครื่องบิน

บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 คูเป ผลงานชิ้นล่าสุดของค่ายใบพัดเครื่องบิน ช่วง 6 เดือนแรกของปี 2007 กลายเป็น "ครึ่งปีทอง" ของค่าย บีเอมดับเบิลยู ไปแล้ว เพราะปรากฏว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้ผลิตรถยนต์ของเมืองเบียร์ ซึ่งมีรถอยู่ในเครือข่ายรวม 3 ยี่ห้อ สามารถทำยอดขายทั่วโลกได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถึง 730,285 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 จากยอดขาย 698,482 คัน ในช่วงเดียวกันเมื่อปี 2006 ยอดขายดังกล่าวนี้ แยกออกได้เป็นรถยี่ห้อ บีเอมดับเบิลยู 622,415 คัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 จาก 597,130 คัน ในปี 2006 เป็นรถ มีนี 107,576 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 จาก 101,065 คัน ในปี 2006 และเป็นรถ โรลล์ส-รอยศ์ 294 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 จาก 287 คัน ในปี 2006 เฉพาะในเดือนมิถุนายน ปรากฏว่า บีเอมดับเบิลยู สามารถทำยอดขายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 150,285 คัน หรือเพิ่มขึ้นอย่างน่าอิจฉาถึงร้อยละ 15.1 จากยอดขาย 130,542 คัน ในเดือนเดียวกันเมื่อปี 2006 ยอดขายดังกล่าวนี้ แยกออกได้เป็น รถ บีเอมดับเบิลยู 127,747 คัน มีนี 22,465 คัน และ โรลล์ส-รอยศ์ 73 คัน ผู้ผลิตรถยนต์แห่งแคว้นบาวาเรีย โอ้อวดอย่างภาคภูมิใจว่า เป็นตัวเลขยอดขายในรอบเดือน ที่ไม่เคยมีผู้ผลิตรถยนต์ระดับ "พรีเมียม" รายใดทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ กล่าวถึงผลประกอบการของค่าย บีเอมดับเบิลยู ในช่วงครึ่งแรกของปีมาซะยืดยาว เพราะรถที่นำมาเสนอใน "ระเบียงรถใหม่" เดือนนี้ เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กพันธุ์ยุโรปล้วนๆ และเป็นผลงานของค่าย บีเอมดับเบิลยู ถึง 3 รายการ โดยเริ่มกันที่ รถยนต์นั่งแบบใหม่ล่าสุด ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ออกจำหน่ายในตลาด คือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 คูเป (BMW 1-SERIES COUPE) เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" นำรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 (BMW 1-SERIES) ออกสู่ตลาดเมื่อเดือนกันยายน 2004 โดยมีตัวถังให้เลือกใช้เพียงแบบเดียว คือ ตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่หัวจรดหาง โดยทีมงานที่มี คริส แชพแมน (CHRIS CHAPMAN) นักออกแบบชาวอเมริกันเป็นผู้นำ 2 ปีครึ่งหลังจากนั้น คือ ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวา ครั้งที่ 77 เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้เอง ค่าย บีเอมดับเบิลยู ก็เติมสีสันให้แก่ รถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 โดยนำรถตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบคออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก เคียงคู่กับรถตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบครุ่น "ยกหน้า" บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 คูเป ที่เห็นอยู่นี้ จึงนับได้ว่าเป็นตัวถังแบบที่ 3 เพิ่งปรากฏตัวผ่านทางเวบไซท์ของค่าย บีเอมดับเบิลยู เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และมีกำหนดอวดตัวจริงเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท ครั้งที่ 62 ซึ่งจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 13-23 กันยายน 2007 นี้ และรถพวงมาลัยขวาจะเริ่มออกจำหน่ายในตลาดอังกฤษเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ตัวถัง 2 ประตูคูเป ยาว 4.360 ม. กว้าง 1.748 ม. และสูง 1.423 ม. ของรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 คูเป วางตัวอยู่บนช่วงฐานล้อยาว 2.660 ม. เท่ากับรถตัวถัง 3 และ 5 ประตูแฮทช์แบค แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ปรากฏว่าตัวถังคูเปมีขนาดยาวกว่าตัวถังแฮทช์แบคถึง 13.3 ซม. เนื่องจากมี REAR OVERHANG หรือ ช่วงยื่นหลัง ยาวกว่า ขนาดความยาวที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่งผลให้ความจุของห้องเก็บของท้ายรถเพิ่มขึ้นตามไปด้วย คือ เพิ่มขึ้นถึง 20 ลิตร เป็น 370 ลิตร รูปทรงองค์เอว และโครงสร้างของตัวถัง ออกแบบด้วยหลักสถาปัตยกรรมเดียวกับตัวถัง 3 และ 5 ประตูแฮทช์แบค เพียงแต่มีส่วนท้ายที่ยืดยาวออกมาในลักษณะของรถคูเป ที่เน้นสมรรถนะ ในลักษณ์ของรถสปอร์ท ค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศซึ่งบ่งบอกความลื่นลมอยู่ในเกณฑ์ดี คือ อยู่ระหว่าง 0.30-0.32 แยกโมเดลให้เลือกใช้ตามรสนิยมรวม 3 โมเดล คือ BMW 120D COUPE-BMW 123D COUPE และ BMW 135I COUPE โมเดลแรก คือ BMW 120D COUPE ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,995 ซีซี 177 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ความเร็วสูงสุด 228 กม./ชม. โมเดลถัดไป คือ BMW 123D COUPE ติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดียวกัน แต่ปรับแต่งต่างกัน รวมทั้งเพิ่มเทอร์โบชาร์เจอร์เข้าไปอีก 1 ตัว ทำให้กำลังสูงสุดพุ่งขึ้นเป็น 204 แรงม้า และทำให้กลายเป็นเครื่องยนต์ดีเซลอลูมิเนียมเครื่องแรกในโลกที่สามารถให้กำลังสูงสุดสูงกว่า 100 แรงม้า/ลิตร ส่วนโมเดลหัวกะทิ คือ BMW 135I COUPE ติดตั้งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 306 แรงม้า (บลอคเดียวกับที่ติดตั้งในรถ BMW 335I) ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.3 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.