พิเศษ
เปิดประตูสู่อาเซียน พิชิตเส้นทาง EAST-WEST ECONOMIC CORRIDOR
การท่องเที่ยวในรูปแบบของคาราวาน ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันได้รับความนิยมมากขึ้น แม้เวลาส่วนใหญ่จะต้องสูญเสียไปกับการเดินทาง แต่กลับกัน ช่วงเวลาเหล่านั้น
มักทำให้เราได้สัมผัสธรรมชาติ และวิถีชีวิตของผู้คนตลอดสองข้างทางอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ที่หาไม่ได้จากตำรา
ตามที่รัฐบาลของประเทศสมาชิกความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS: GREATER MEKONG SUBREGION) ประกอบด้วย จีน พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา
และประเทศไทย ได้เห็นพ้องร่วมกันที่จะพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบกเชื่อมโยงระหว่างกัน (EAST-WEST ECONOMIC CORRIDOR) เริ่มตั้งแต่ฝั่งทะเลอันดามันเมืองมะละแหม่ง (พม่า) เชื่อมทางหลวงหมายเลข A-14 (แม่สอด ตาก พิษณุโลก ขอนแก่น มุกดาหาร) ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 9 สะหวันเขต (สปป. ลาว) ถึงดงฮา (เวียดนาม) สามารถเชื่อมกับทางหลวงหมายเลข 1 ไปยังเมืองเว้ และดานัง (ฝั่งทะเลจีนใต้) ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญของเวียดนาม
การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 เชื่อมระหว่าง จ. มุกดาหาร ของไทย และแขวงสะหวันเขต ของ สปป. ลาว มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร เสร็จลุล่วงด้วยดี มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการขึ้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2549 พร้อมกันนั้นได้จัดกิจกรรมคาราวาน ไทย-ลาว-เวียดนาม เพื่อเฉลิมฉลองและประชาสัมพันธ์สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งนี้ ซึ่งดำเนินการโดย GMS RALLY GROUP CO., LTD. มี คุณสมศักดิ์ บูรพาพิพัฒน์ เป็นหัวหน้าคณะ
กำหนดการเดินทางทั้งหมด 6 คืน 7 วัน รวมรถยนต์จากทั้ง 3 ประเทศกว่า 50 คัน พร้อมกับกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ ฮาร์เลย์ เดวิดสัน และ บีเอมดับเบิลยู อีกกว่า 20 คัน ซึ่งเป็นการเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของประเทศเวียดนาม ที่อนุญาตให้รถมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดเกิน 150 ซีซี เข้าประเทศ โดยได้รับการเซ็นอนุมัติจากนายกรัฐมนตรีของเวียดนาม เพื่องานนี้โดยเฉพาะ
ก่อนวันเดินทาง คณะของเราได้รับแจ้งว่าฝั่งไทยยังไม่อนุญาตให้นำรถข้ามสะพาน ดังนั้นขบวนคาราวานทั้งหมดจึงต้องหันไปใช้บริการของแพขนานยนต์เพื่อข้ามฟาก และไปตั้งขบวนที่บริเวณกลางสะพานฝั่งลาว โดยได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีของลาว พร้อมเจ้าผู้ครองแขวงสะหวันเขต ร่วมเป็นประธานปล่อยรถ
เมื่อขบวนรถเริ่มทยอยเดินทาง ชาวบ้านที่รอต้อนรับได้ทักทายด้วยคำว่า "สะบายดี" หรือแปลเป็นไทยว่า "สวัสดี" พร้อมโบกธงชาติลาวและไทย ตลอดสองฟากฝั่งยาวกว่า 2 กิโลเมตร จุดหมายปลายทางของวันนี้ คือ เมืองดงฮา ประเทศเวียดนาม โดยจะข้ามแดนที่ด่านลาวบาว รวมระยะทางจากสะหวันเขตถึงดงฮา ประมาณ 330 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 9 ซึ่งตอนนี้ตลอดทั้งสายได้ปรับปรุงเป็นถนนราดยาง ทำให้การเดินทางมีความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก
ประมาณ 16 นาฬิกา เราก็มาถึงด่านลาวบาว เมื่อรถทุกคันผ่านพิธีการศุลกากร คณะคาราวานจึงเริ่มขบวนมุ่งสู่โรงแรม DONG TRUONG SON ซึ่งเป็นที่พักคืนแรกในประเทศเวียดนาม ขณะที่รถเริ่มทยอยข้ามแดน ผมสังเกตเห็นผู้หญิงสะพายย่ามกลุ่มหนึ่งในมือถือธนบัตรเป็นฟ่อน ลองวิทยุถามพี่ในขบวน ได้รับแจ้งว่ากลุ่มผู้หญิงเหล่านั้น คือ ธนาคารเคลื่อนที่ มารับแลกเงินบาทไทยเป็นเงินดองเวียดนาม แต่จะให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ต่ำกว่าทั่วไป ผู้ที่เคยไปบ่อยๆ มักเรียกว่า "ธนาคารเถื่อน" ซึ่งมีอยู่มากมายบริเวณด่านนี้
หลังอาหารเช้าขบวนรถเดินทางสู่อุโมงค์วิงห์มก (VINH MOC) เพื่อเยี่ยมชมบ้านใต้ดิน อดีตเคยเป็นที่หลบการทิ้งระเบิดของสหรัฐ ฯ จากปี 1966-1971 และเป็นเวลานานถึง 5 ปี ที่คน 300 คน อาศัยอยู่ในซอกซอยของอุโมงค์ที่มีความยาว 2,000 เมตร มีเด็กทารก 17 คน เกิดในอุโมงค์แห่งนี้ ไม่ไกลกันมีสะพานชื่อ "เฮี่ยนเลือง" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเส้นขนานที่ 17 สมัยเกิดสงครามกับฝรั่งเศส โดยแบ่งประเทศออกเป็น 2 ส่วนที่นี่
จากนั้นเราได้มุ่งตรงสู่โรงแรม HUONG GIANG ในเมืองเว้ ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลก อดีตเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเวียดนามอันยิ่งใหญ่ เราเปลี่ยนบรรยากาศจากขับรถเที่ยวมาเป็นล่องเรือ ชมทัศนียภาพสองฟากฝั่งแม่น้ำเฮวือง (แม่น้ำหอม) แวะชมเจดีย์เทียนหมุที่ตั้งอยู่บนเขาฝั่งเหนือของแม่น้ำ ที่สร้างโดย เหวียนฮว่าง ในปี 1601 ประกอบด้วยหอคอยที่มีรูปทรง 8 เหลี่ยม 7 ชั้น ชื่อ เฝือกเยวียน แต่ละชั้นแทนชาติภพต่างๆ ของพระพุทธเจ้า ภายในมีพระสังกระจายน์ปิดทอง และพระพุทธรูปอีก 3 องค์ในตู้กระจก บริเวณด้านนอกมีระฆังขนาดใหญ่หนัก 2,000 กก. สูง 2 เมตร หล่อขึ้นในปี 1701
หลังอาหารเย็นขบวนสามล้อปั่นที่เรียกว่า "ซิโคล" (CYCLO) ได้มารอรับคณะของเราอยู่หน้าโรงแรมเพื่อพาเที่ยวชมรอบเมือง รถซิโคลร่วม 100 คัน ที่ชักแถวออกจากโรงแรมเป็นขบวนใหญ่ เป็นที่ดึงดูดสายตาแก่ผู้คนที่สัญจรผ่านมา โชเฟอร์แต่ละคนวาดลวดลายเต็มที่ ผมเองยังรู้สึกหวาดเสียวไม่น้อยกับลักษณะการขับขี่ยานพาหนะของชาวเวียดนาม เพราะพี่ท่านแทบจะไม่เหยียบเบรคเลย หากมีอะไรกีดขวางจะใช้วิธีหลบหลีก เป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้สัมผัสมา
เช้าวันที่สองในเวียดนาม เราตื่นเร็วกว่าปกติเพราะมีโพรแกรมต้องเยี่ยมชมนครจักรพรรดิไดโนย หรือพระราชวังต้องห้าม ซึ่งสร้างตามแบบของพระราชวังต้องห้ามจากประเทศจีน ในรัชสมัยของพระเจ้ายาลอง แต่อากาศกลับไม่เป็นใจให้แ ขกผู้มาเยือนสักเท่าไร เพราะสายฝนที่โปรยปรายลงมาตั้งแต่หัวรุ่ง ทำให้การเดินเที่ยวชมไม่สะดวกเท่าที่ควร แต่ยังได้ซึมซับถึงความยิ่งใหญ่เมื่อครั้งอดีตกาลจากซากโบราณสถานที่หลงเหลืออยู่ แม้ส่วนหนึ่งจะถูกทำลายลงไปจากภัยสงครามก็ตามที
หลังจากใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ขบวนรถทั้งหมดจึงมุ่งตรงสู่เมืองท่าดานัง เส้นทางสายนี้มีความสวยงามเป็นอย่างมาก เราวิ่งผ่านเทือกเขาสลับที่ลุ่ม บางช่วงคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา โดยพี่สมศักดิ์ ได้บรรยายสถานที่ต่างๆ ให้คณะเราได้ฟังทางวิทยุสื่อสาร มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงหนังเกี่ยวกับสงครามเวียดนามขึ้นมาทันที ที่ซึ่งเรียกว่า "HAMBERGER HILL" ภูเขาที่ทหารอเมริกันถูกตีโอบล้อมจากทหารเวียดกง ซึ่งรุกขนาบทั้ง 2 ข้าง ไม่สามารถออกจากกับดักนี้ได้ ทำให้ทหารอเมริกันเสียชีวิตไปกับเหตุการณ์ครั้งนั้นหลายหมื่นคน ภูเขาลูกสุดท้ายที่เราต้องผ่านมีความสูงชันเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้รัฐบาลเวียดนามได้สร้างอุโมงค์เจาะทะลุภูเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีความยาวประมาณ 10 กิโลเมตร ช่วยให้ระยะทางสู่เมืองดานังนั้นสั้นลง
ดานัง เป็นเมืองท่าที่สำคัญและเป็นเมืองใหญ่อันดับ 4 ของประเทศ ทิศใต้ของดานังจะพบเนินเขาหินอ่อน เป็นแหล่งหินอ่อนมีค่าทั้งสีแดง สีขาว และสีฟ้าเขียว บริเวณเชิงเขามีช่างสลักหินอ่อนมารังสรรค์งานศิลปะอยู่จำนวนมาก ถือเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง
คืนนี้เราพักค้างแรมที่เมืองโบราณฮอยอัน ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ ห่างจากดานังประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นเมืองเก่าแก่ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก ถนนญี่ปุ่นที่ผ่านกลางย่านกรุงเก่า มีแต่บ้านเรือนที่มีอายุกว่า 150 ปี สถาปัตยกรรมเป็นแบบญี่ปุ่นผสมกับจีน ที่สุดปลายถนนเป็นที่ตั้งของสะพานญี่ปุ่นทรงโค้ง มุงกระเบื้องสีเขียว-เหลือง สร้างโดยชุมชนชาวญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 17 เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ คือ สงบเงียบ สินค้าราคาไม่แพง จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาแม่บ้านนักชอพทั้งหลาย
หลังจากดื่มด่ำกับยามราตรีของฮอยอัน รุ่งเช้าคณะของเราออกเดินทางเลียบชายฝั่งทะเลจีนใต้ ผ่านเมืองกวางหงาย สู่เมืองกองตุม ชมเมืองยุทธศาสตร์ในสมัยสงคราม มีโบสถ์ไม้อายุนับ 100 ปี พร้อมเยี่ยมชมชาวเขา KON KO TU ของชาวพื้นเมือง BAR NAR เมื่อกลับสู่ที่พักหลังอาหารเย็น ก่อนที่จะเข้านอนผมได้เดินชมเมืองยามราตรี ซึ่งตรงกับวันคริสต์มาส บ้านเรือนต่างๆ พากันประดับประดาด้วยไฟนีออน ทำให้ทั้งเมืองสว่างไสวด้วยแสงไฟหลากสีสวยงามยิ่งนัก
จากเมืองกองตุม เราวิ่งเข้าสู่ชายแดนลาวที่ด่านโบอี ที่เพิ่งเปิดใหม่ ผ่านเมืองอัตตะปืด ผ่านที่ราบสูงโบโลเวน แวะชมน้ำตกระหว่างทาง ก่อนแวะค้างคืนที่เมืองปากเซ หลังอาหารเช้ามื้อสุดท้ายของทริพนี้ เราได้แวะชมความยิ่งใหญ่ของน้ำตกคอนพะเพ็ง พร้อมด้วยอาหารกลางวัน เป็นเมนูปลาสดๆ จากแม่น้ำโขง ก่อนเดินทางสู่ชายแดนไทยทางช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี
สุดยอดความอบอุ่น ที่สุดแห่งความประทับใจ ดื่มด่ำกับธรรมชาติ สัมผัสกับวัฒนธรรมแปลกใหม่ ยิ่งเฉพาะการแต่งกายของสาวเวียดนามที่อยู่ในชุดอ๋าวหย๋าย ขาว บางเบา พลิ้วไหว ยังคงตราตรึงติดอยู่ในใจมิรู้ลืม
ขอขอบคุณ GMS RALLY GROUP CO., LTD. และคุณสมศักดิ์ บูรพาพิพัฒน์ ที่อำนวยความสะดวกในการเดินทาง
ขอขอบคุณ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนการเดินทาง
เรื่องโดย : ธนกฤต นรพันธุ์พงศ์
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน เมษายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/14105