ทั่วไป
ทำท่าว่าจะหายใจหายคอคล่องขึ้นบ้าง สำหรับตลาดรถยนต์ในบ้านเรา หลังจากที่ปัจจัยลบฉุดยอดขายหลายปัจจัยถูกคลี่คลายลงไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความขัดแย้งทางการเมือง
ที่ในที่สุดฝ่ายทหารก็อดรนทนเงียบสงบอยู่ในที่ตั้งต่อไปไม่ไหว ต้องออกมาเคลื่อนไหวยุติการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลภายใต้การนำของ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญชุดใหม่ที่นำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ เพื่อให้ประชาชนคนไทยเป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เพื่อ
ประเทศชาติตามครรลองระบอบประชาธิปไตยต่อไป
ทำท่าว่าจะหายใจหายคอคล่องขึ้นบ้าง สำหรับตลาดรถยนต์ในบ้านเรา หลังจากที่ปัจจัยลบฉุดยอดขายหลายปัจจัยถูกคลี่คลายลงไป ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความขัดแย้งทางการเมือง
ที่ในที่สุดฝ่ายทหารก็อดรนทนเงียบสงบอยู่ในที่ตั้งต่อไปไม่ไหว ต้องออกมาเคลื่อนไหวยุติการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาลภายใต้การนำของ พตท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร และแต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญชุดใหม่ที่นำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ เพื่อให้ประชาชนคนไทยเป็นผู้ตัดสินใจเลือกผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เพื่อ
ประเทศชาติตามครรลองระบอบประชาธิปไตยต่อไป
ในด้านของปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ผู้ที่มีรถยนต์ใช้อยู่แล้วก็พอจะยิ้มแย้มแจ่มใสกันได้บ้าง เพราะราคาน้ำมันก็มีการปรับลดลงมาบ้างพอสมควร ถึงจะไม่มากนักแต่ก็พอมีเวลาคิดทบทวนไตร่ตรอง หรือหาทุนทรัพย์เพิ่มเติมในการที่จะปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนประเภทอื่นๆ
แต่ธุรกิจต่างๆ ที่ทำท่าจะฟื้นตัว รวมไปถึงการจำหน่ายรถยนต์ในบ้านเราก็มีอันต้องสะดุดลงอีกรอบหนึ่ง ซึ่งคราวนี้ไม่ได้เป็นปัจจัยลบที่เกิดขึ้นเพราะน้ำมือมนุษย์เสียเลยทีเดียว เป็นฝีมือของธรรมชาติที่สร้างสรรมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ พื้นที่จำนวนมากในหลายส่วนของประเทศเจิ่งนองไปด้วยน้ำที่ไม่ท่วมเฉพาะเรือกสวนไร่น่าที่เป็นพื้นที่ทำมาหากินเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงที่พำนักพักอาศัยด้วย ซึ่งแน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่แบบนี้ คงไม่มีใครจะมัวมานั่งคิดนอนคิดว่าจะซื้อรถใหม่อะไรดี หรือที่ตกปากตกคำ สั่งจองเอาไว้ก็ต้องขอชะลอการส่งมอบออกไปก่อน รอสถานการณ์กลับคืนสู่ปกติแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีว่าจะเอายังไงกันดี ถึงแม้ว่าในช่วงเดือนกันยายน ที่ผ่านมา จะยังเป็นแค่ช่วงเริ่มต้นของปัญหาอุทกภัยนี้ก็ตาม แต่ก็มีผลต่อสภาวะการจำหน่ายรถยนต์ด้วยเช่นกัน
ยอดจำหน่ายรถยนต์ในช่วงเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ลดลงไปจากเดือนเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้วถึง 10.4 % รถยนต์ทุกประเภทขายรวมกันไปได้เพียง 49,383 คัน ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม ที่ผ่านไป มีอัตราการเติบโตที่ลดลงเกือบ 8 % โดยที่ยังมีแต่เพียงตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้น ทั้งนี้เพิ่มขึ้นถึง 25.8 % เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ปีที่แล้ว และสูงขึ้น 12 % กว่าเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม ซึ่งความต้องการของรถยนต์นั่งที่สูงขึ้นนี้ เป็นเพราะในปีนี้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมามีการเปิดตัวรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ๆ กันหลายรุ่น ซึ่งล้วนแล้วแต่เข้าตาผู้บริโภคทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น โตโยตา ยารีส, ฮอนดา ซีวิค ใหม่, นิสสัน ทิอิดา ไล่เรียงมาเรื่อยจน โตโยตา แคมรี ใหม่ และเชฟโรเลต์ อาวีโอ รวมไปถึงรถยนต์นั่งแบบหรูหราที่ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ให้มีทางเลือกมากขึ้น ทั้งของ เมร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอมดับเบิลยู และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จับจ่ายถอยรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ออกมา ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล หรือในเขตตัวเมืองที่ประสบปัญหาในเรื่องของน้ำท่วม ทำให้การเจริญเติบโตของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในจำนวนรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ป้ายแดงที่ทยอยออกจากโชว์รูมผู้จำหน่ายไปในเดือนนี้ ยังคงเป็น โตโยตา ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด ขายไปได้ทั้งสิ้น 7,241 คัน กินส่วนแบ่งตลาดไปถึง 47.0 % ส่วนทางค่าย ฮอนดา ถึงแม้จะยังจำหน่ายได้เป็นอันดับสอง ในตลาดนี้ แต่ยอดขายรถยนต์นั่งรวมทุกรุ่นของค่ายนี้ก็ลดน้อยถอยลงจากเดือนสิงหาคม เดือนนี้ขายไปได้ 4,632 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 30.0 % ส่วนอันดับสาม มีการเปลี่ยนมือกันแล้ว โดยที่เดือนนี้ เชฟโรเลต์ อาวีโอ เริ่มแผลงฤทธิ์ ทำให้ยอดขายของรถยนต์นั่งของ เชฟโรเลต์ พุ่งพรวดขึ้นมาอยู่ในอันดับที่สาม ด้วยยอดขาย 1,622 คัน เขี่ย นิสสัน ที่ขายไปได้เพียง 719 คัน ร่วงลงไปอยู่ในอันดับที่สี่แทน และเป็นครั้งแรกที่รถยนต์นั่งระดับหรูหราจากค่าย บีเอมดับเบิลยู ขึ้นมาอยู่ 5 อันดับรถยนต์นั่งที่ขายดีที่สุดประจำเดือนได้ บีเอมดับเบิลยู ขายได้มากสุดเป็นอันดับที่ห้า ในเดือนกันยายนนี้ จากยอดขาย 254 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 1.6 % ไม่เลวเลยทีเดียว
และเมื่อรวมตั้งแต่ต้นปีมา ตลาดรถยนต์นั่งเติบโตขึ้นถึง 10.3 % เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มียอดจำหน่ายรวมที่ 131,928 คัน โดย โตโยตา ยังคงครองความเป็นหนึ่งในตลาดนี้เช่นเดิม มียอดขายรวมกันไปแล้ว 60,835 คัน หรือเท่ากับ 46.1 % ของตลาดทั้งหมด ตามมาเป็นอันดับสอง ด้วยยอดขายรวม 48,267 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 36.6 % สำหรับ ฮอนดา ส่วนอันดับสาม ก็ยังเป็นของ นิสสัน ที่ขายไปได้แล้วทั้งสิ้น 5,488 คัน ได้ส่วนแบ่งตลาดไป 4.2 % เชฟโรเลต์ มาเป็นอันดับที่สี่ 4,364 คัน ส่วนแบ่งตลาด 3.3 % และอันดับที่ห้า เป็นรถยนต์นั่งที่ใครเห็นก็รู้ว่าเจ้าของต้องมีกะตังค์ รถยนต์นั่งในตระกูล เมร์เซเดส-เบนซ์ ขายไปได้รวม 2,674 คัน รับส่วนแบ่งตลาดไป 2.0 % แต่ทั้ง มาซดา ฟอร์ด รวมถึง มิตซูบิชิ ก็ตามมาไม่ห่าง และมีสิทธิ์ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ทั้งสิ้นถ้าอัดแคมเปญส่งเสริมการขายกันหนักๆ
สำหรับตลาดรถเพื่อการใช้งานโดยกำเนิดอย่าง รถพิคอัพขนาด 1 ตัน ทั้งในแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ ที่มีตลาดใหญ่อยู่ในเขตตัวเมืองรอบนอก และเป็นเครื่องไม้เครื่องมือในการทำมาหากินของประชาชนส่วนใหญ่ ยกเว้นบรรดาพวกที่เอาแต่แต่งสวยงามไว้อวดสาวๆ น่าจะโดนผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมไปเต็มๆ ขนาดที่ค่ายยักษ์ใหญ่ยังบอกเลยว่า ที่ยอดขายเดือนนี้ตกลงไป ส่วนหนึ่งเพราะติดขัดเรื่องการขนส่งรถออกไปให้ตัวแทนจำหน่ายในต่างจังหวัดที่อยู่ในเขตอุทกภัย ยอดขายรถพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 2 ล้อ ในเดือนกันยายนนี้ อยู่ที่ 26,544 คัน ตกลงไปถึง 18.5 % เมื่อเทียบกับกันยายนปีที่แล้ว และประมาณ 18.4 % จากเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา โตโยตา กลับขึ้นมาเป็นรถพิคอัพขวัญใจมหาชนอีกเดือนหนึ่ง จากยอดขาย 10,774 คัน ส่วนแบ่งตลาด 40.6 % ขณะที่ อีซูซุ ที่เพิ่งจะปล่อย ดี-แมกซ์ รุ่นใหม่ ออกมาเมื่อเดือนที่แล้ว เจอปัญหาลูกค้าขอรอดูเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่กำลังตามออกมาในเดือนตุลาคมเสียก่อน ทำให้ยอดขายเดือนนี้ไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร กลับลงมาอยู่ในอันดับที่สอง ด้วยยอดขาย 9,108 คัน ขณะที่ นิสสัน ที่มีข่าวว่าพิคอัพสายพันธุ์ใหม่ของค่ายนี้ ต้องเลื่อนกำหนดการเปิดตัวออกไปจากช่วงปลายปีนี้กลับทำได้ดีขึ้น ทำยอดขายมาอยู่อันดับที่สามในเดือนนี้ 2,270 คัน มิตซูบิชิ หล่นลงไปอยู่ในอันดับที่สี่ 1,294 คัน และมาซดา ก้าวมาอยู่ในอันดับที่ห้า ด้วยยอดขาย 1,040 คัน ทิ้งคู่แฝดมหัศจรรย์ ฟอร์ด ไปเพียง 16 คันเท่านั้น
ส่วนพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ เมื่อเทียบกับกันยายนปีที่แล้ว หัวปักหัวปำลงไปอีกเยอะ ติดลบไปถึง 37.3 % แต่ถ้าเทียบกับเดือนที่แล้ว เดือนสิงหาคม ลดลงไปเล็กน้อยประมาณ 3 % เดือนนี้ขายไปได้ 2,017 คัน อันดับหนึ่งไม่พ้น โตโยตา ขายไปได้อีก 1,245 คัน ส่วนแบ่งตลาดสูงถึง61.7 % ขณะที่ อีซูซุ กลับมาทวงตำแหน่งที่สองได้จาก มิตซูบิชิ ด้วยยอดขาย 300 คัน ขณะที่ มิตซูบิชิ ขายได้ 265 คัน ตามหลังมาเป็นของ ฟอร์ด 112 คัน และมาซดา 69 คัน
เมื่อรวมยอด 9 เดือนแล้ว พิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 2 ล้อ ทำยอดขายรวมกันแล้ว 279,005 คัน ลดลงไป 1.5 % จาก 9 เดือนแรกของปีที่แล้ว และพิคอัพ 1 ตัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ มียอดขายรวมกันที่ 22,198 คัน โดย โตโยตา และอีซูซุ แบ่งกันเป็นผู้นำในตลาดคนละประเภท ขับเคลื่อน 2 ล้อ อีซูซุ ขายได้มากที่สุด 108,691 คัน หรือ 39.0 % ของตลาดทั้งหมด ส่วน
โตโยตา เป็นผู้นำในตลาดประเภทขับเคลื่อน 4 ล้อ ขายไปได้แล้วทั้งสิ้น 13,472 คัน ส่วนแบ่งตลาด 60.7 % และเมื่อรวมทั้ง 2 ประเภท ปรากฏว่ารถพิคอัพ 1 ตัน ตั้งแต่ต้นปีมา
ทำยอดขายไปได้ 301,203 คัน การเติบโตลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2.6 % โตโยตา มียอดขายสูงที่สุด 114,808 คัน อีซูซุ 111,461 คัน ยังทิ้งกันไม่ห่างนัก ช่วงโค้งสุดท้ายในไตรมาสที่ 4 ตุลาคมถึงธันวาคม โดยเฉพาะในงานมหกรรมยานยนต์ คงได้สู้กันสนุกเพื่อตำแหน่งแชมพ์ประจำปี 2549
ตลาดรถยนต์รวมทุกประเภทเก็บสะสมกันมาตั้งแต่เดือนมกราคม จนมาถึงเดือนกันยายนนี้ ทุกยี่ห้อขายรวมกันได้ 488,450 คัน ลดลงไปจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 3.2 %
ในอดีตหลายๆ ปีที่ผ่านมา เดือนตุลาคมจะเป็นอีกเดือนหนึ่งที่พนักงานขายรถยนต์จะชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะดูจากสถิติปรากฏว่าเป็นเดือนที่ยอดจำหน่ายรถยนต์จะสูงขึ้นกว่าปกติ แต่สำหรับตุลาคมปีนี้ คงต้องทำใจเผื่อๆ กันไว้หน่อย เพราะปัญหาอุทกภัยถึงแม้ว่าอาจจะทุเลาเบาบางลงไป แต่ก็ยังมีผลกระทบที่ติดตามมาในเรื่องของการบูรณะสภาพบ้านเรือน
ที่ทำกิน ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายตามมาด้วย คงยากที่จะตัดใจซื้อหารถยนต์มาใช้งาน ก็อยู่ที่ว่าใครจะฉวยพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ดีกว่ากัน
แคมเปญใครจะโดนใจกว่ากันเท่านั้น แต่สำหรับโอกาสที่ตลาดรถยนต์จะพลิกฟื้นกลับมาให้ดีกว่ายอดรวมในปีที่แล้วนั้น วังเวงริบหรี่เสียเหลือเกิน
เรื่องโดย : ขุนสัญจร
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/13904