ทั่วไป
สายงานวางแผนผลิตภัณฑ์ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด
ภาวะการทรงตัวของตลาดรถยนต์ในปัจจุบัน กับการแข่งขันของค่ายรถ ที่มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบก่อนหน้าคู่แข่ง 4 WHEELS สัมภาษณ์พิเศษ โทชิมิตสึ โนเสะ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานวางแผนผลิตภัณฑ์ บริษัท สยามนิสสัน ออโตโมบิล จำกัด
4 WHEELS : คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของ นิสสัน เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันในตลาด ?
โนเสะ : ปัจจุบันตลาดรถในประเทศไทย มีสัดส่วนของรถพิคอัพ 65 % ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ นิสสัน มี ฟรอนเทียร์ ซึ่งมีจุดเด่นด้านความทนทาน แม้จะทำตลาดมานาน แต่ก็มียอดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดตัว รุ่นลิมิเทด เวอร์ชัน ไททาเนียม และในอนาคต ฟรอนเทียร์ รุ่นใหม่ล่าสุด ก็จะเปิดตัวในเมืองไทย
ส่วนรถยนต์นั่งมี นิสสัน เทอานา และทิอิดา ที่มีทั้งแบบ 4 และ 5 ประตู ด้านรถเอสยูวีมี เอกซ์-ทเรล ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างดีจากผู้ใช้ทั่วโลก ด้วยจุดเด่นเรื่องสมรรถนะเครื่องยนต์ รวมถึง รถตู้ เออร์แวน ที่มียอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมี มูราโน และเซด 350 มาช่วยเสริมตลาดอีกด้วย
4 WHEELS : คุณคิดว่าผลิตภัณฑ์ที่มีในปัจจุบัน มีความหลากหลายเพียงพอหรือไม่ ?
โนเสะ : ยังไม่เพียงพอ ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะพัฒนารถในกลุ่ม บี เซกเมนท์ เพิ่มขึ้นอีก คาดว่าจะเปิดตัวปี 2551 นอกจากนี้จากภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ภาครัฐมีแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น ส่งเสริมพลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น CNG, E10, แกสโซฮอล และในอนาคต ภาครัฐคงให้ความสำคัญกับการพัฒนารถที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหลายประเทศ ทุกประเทศมีแนวคิดเดียวกันว่า บริษัทผู้ผลิตรถ ควรผลิตรถที่สามารถประหยัดน้ำมัน ซึ่ง นิสสัน มีแนวคิดที่จะพัฒนารถที่สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว และถือเป็นภารกิจ ในการวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น โดยมองว่ารถขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพในเรื่องพลังงาน น่าจะเป็นตัวเลือกที่สำคัญในอนาคต
4 WHEELS : นิสสัน มีรถที่สามารถใช้พลังงานทางเลือก ได้หรือไม่ ?
โนเสะ : ปัจจุบันรถทุกรุ่นของ นิสสัน สามารถใช้ E10 ได้ ส่วน E20 รัฐบาลประกาศจะให้สิทธิพิเศษทางภาษี ในเดือนมกราคม 2552 ซึ่งขณะนี้ นิสสัน อยู่ระหว่างการพัฒนา สำหรับ B5 โดยพื้นฐานแล้ว รถ นิสสัน สามารถใช้ได้ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือ การจำหน่าย B5 ในประเทศไทยยังไม่แพร่หลาย ประกอบกับคุณภาพของ B5 ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันยังไม่ได้มาตรฐานสากล โดยจากผลการศึกษาของ JAMA ดังนั้นจึงได้ขอร้องให้ภาครัฐนำไปปรับปรุงก่อน ซึ่งคาดว่าในอนาคตไม่น่าจะมีปัญหา
ส่วนรถเครื่องยนต์ NGV รถ นิสสัน ที่จำหน่ายในประเทศไทยในปัจจุบันยังไม่สามารถใช้ NGV ได้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะสามารถพัฒนาได้แค่ไหน แต่ส่วนหนึ่งต้องมองการสนับสนุนของภาครัฐด้วยว่าจะมีการส่งเสริมมากน้อยแค่ไหน โดยหากมองภาพรวมของ นิสสัน ทั่วโลก ปัจจุบันมีรถในหลายประเทศที่สามารถใช้ NGV ได้
4 WHEELS : รถพิคอัพใหม่ของ นิสสัน จะเปิดตัวเมื่อไร ?
โนเสะ : ตามแผนที่กำหนดไว้ คือ ครึ่งปีแรกของปี 2550 สำหรับตลาดในเมืองไทยอาจมองว่าช้า แต่โดยภาพรวมของตลาดโลกถือว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากการเตรียมตัวเปิดตัวสินค้าใหม่ ต้องใช้ระยะเวลาในการเปิดตัว เนื่องจากรถพิคอัพใหม่เป็นการเปลี่ยนโมเดลใหม่หมด ไม่ว่าจะเป็น รูปลักษณ์ เครื่องยนต์ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม 200 % โดยรถรุ่นใหม่นี้เป็นการลบจุดอ่อนออกไป และเพิ่มจุดแข็งมากขึ้น พร้อมกันนี้ นิสสัน ยังมีแผนที่จะเปิดตัวรถรุ่นใหม่อีกหลายรุ่นในปีหน้า
4 WHEELS : ในอนาคตการพัฒนาสินค้าของ นิสสัน ในประเทศไทย จะไปในทิศทางใด ?
โนเสะ : นิสสัน จะให้ความสำคัญทั้งรถพิคอัพ และรถเก๋ง ถึงแม้ว่าตลาดส่วนใหญ่จะเป็นรถพิคอัพ เพราะในอนาคตจะมีรถที่น่าสนใจ อย่างรถในกลุ่ม บี เซกเมนท์ คนที่ซื้อรถคันแรกอาจจะไม่ใช่รถพิคอัพ แต่จะเป็นรถเก๋ง ซึ่งสัดส่วนของรถพิคอัพจาก 65 % อาจจะลดลงเรื่อยๆ ท้ายสุดอาจเป็น 50:50 โดยจะทำให้ความสำคัญของรถพิคอัพ และรถเก๋งใกล้เคียงกัน ส่วน นิสสัน จะผลิตรถที่ตอบสนองการใช้งานของลูกค้าและได้รับความพึงพอใจสูงสุด
4 WHEELS : คุณคิดว่าปีหน้าจะเป็นปีของ นิสสัน หรือไม่ ?
โนเสะ : ต้องยอมรับว่าธุรกิจของ นิสสัน ปีนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็มั่นใจว่าในช่วงปี 2550-2552 นิสสัน จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากขึ้น รวมถึงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
4 WHEELS : คุณมองว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า แนวโน้มความนิยมของผู้ใช้รถในเมืองไทยจะเป็นอย่างไร ?
โนเสะ : ผมคิดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ความนิยมของลูกค้าก็ยังคงเป็นรถพิคอัพ เพราะว่าตลาดรถในเมืองไทยยังเอื้อประโยชน์เรื่องภาษีให้กับรถพิคอัพ เมื่อเปรียบเทียบกับรถประเภทอื่น แต่รูปแบบจะเปลี่ยนไป เน้นที่ทรงพลัง มีดีไซจ์น มีแรงม้า ประหยัดน้ำมัน ใช้ได้ทั้งส่วนตัว และธุรกิจ
ส่วนรถเก๋ง แนวโน้มจะเป็นการผสมผสานของดีไซจ์น เห็นได้จากรถประเภทแฮทช์แบค ที่ ฮอนดา เริ่มนำ แจซซ์ มาเปิดตลาดเป็นรายแรก และได้รับความนิยม จนปัจจุบันมีหลายยี่ห้อนำรถประเภทนี้มาจำหน่าย รวมถึง นิสสัน ทิอิดา ด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และแนวโน้มในอนาคตคนรุ่นใหม่ที่จะซื้อรถจะไม่สนใจว่าเป็นรถเก๋ง หรือแฮทช์แบค เพราะไม่ได้มองว่าเป็นรถอะไร แต่จะซื้อเพราะดีไซจ์น
เช่น นิสสัน ทิอิดา ที่มีทั้งแบบซีดาน และแฮทช์แบค เป็นรถที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มียอดขายประมาณ 600,000 คัน/ปี จุดเด่นของ นิสสัน ทิอิดา คือ ตัวรถเป็นคอมแพคท์ ควบคุมง่าย ภายในกว้างขวาง มีคุณภาพและความประณีตในการประกอบดีกว่ารถในกลุ่มเดียวกัน แต่สำหรับตลาดในประเทศไทย อาจยังไม่สามารถสื่อสารถึงจุดเด่นของ นิสสัน ได้ดีพอ ยอดขายที่ผ่านมาจึงไม่มากนัก
แต่สำหรับ ทิอิดา รุ่นแฮทช์แบค ไม่เหมือนรถแฮทช์แบคในอดีต แต่มีการพัฒนาโดยนำข้อดีของรถเอสยูวี กับแฮทช์แบคมาผสมผสานกัน ทำให้เกิดเป็นรถครอสส์โอเวอร์ขนาดเล็ก ซึ่งเรามองว่าในอนาคต รถเก๋งขนาดเล็ก มีที่นั่ง 3 แถว เหมือนรถครอสส์โอเวอร์ จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
4 WHEELS : นิสสัน มีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ในการพัฒนาสินค้าใหม่ที่จะนำมาแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด ?
โนเสะ : การผลิตรถใหม่ 1 คัน ต้องใช้เงินลงทุนอย่างน้อย 1 ล้านล้านเยน การที่จะต่อสู้กับคู่แข่งได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาประสิทธิภาพของสินค้าให้เหนือกว่า ในปี 2542 นิสสัน ได้รวมกับ เรอโนลต์ ถ้ามองยอดจำหน่ายของ นิสสัน-เรอโนลต์ ปีละ 5 ล้านคัน คาดว่าน่าจะอยู่ในอันดับ 3 หรือ 4 ของโลก ซึ่งถือว่ามียอดขายมากพอสมควร ยืนยันถึงความพร้อมและประสิทธิภาพด้านการพัฒนาสินค้าได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ การควบรวมกิจการกับ เรอโนลต์ ได้นำข้อดีของทั้ง 2 ยี่ห้อ มาใช้ในการพัฒนาสินค้าร่วมกันอีกด้วย
4 WHEELS : การทำงานในเมืองไทย สิ่งที่คุณภูมิใจมากที่สุดคืออะไร ?
โนเสะ : ผมทำงานกับ นิสสัน จนถึงปัจจุบัน 26 ปีแล้ว ภูมิใจกับงานที่ทำ ผ่านมาแล้วหลายประเทศ ทั้งอเมริกา ยุโรป เริ่มตั้งแต่การพัฒนาชิ้นส่วน จนกระทั่งมีส่วนในการพัฒนารถทั้งคัน เห็นลูกค้าชอบรถก็ภูมิใจ ส่วนประเทศไทย เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา แต่ก็ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนไทยพอสมควร
4 WHEELS : การวางแผนสินค้าในประเทศไทย เปรียบเทียบกับประเทศอื่น มีความยากง่ายแตกต่างกันอย่างไร ?
โนเสะ : ส่วนตัวผมเป็นคนชอบทำสิ่งยากๆ ท้าทาย รถ 1 คัน มีชิ้นส่วนมากกว่า 2,000 ชิ้น แต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน แต่ประเทศไทยมีความแตกต่างจากหลายประเทศ เช่น ความนิยมเรื่องสีรถ การใช้รถพิคอัพเป็นรถนั่งมากกว่าการบรรทุก ให้ความสำคัญกับความสบายในห้องโดยสาร ความแตกต่างระหว่างผู้ใช้รถในกรุงเทพ ฯ กับต่างจังหวัด ซึ่งต้องสัมผัสด้วยตัวเอง ถ้าไม่ได้เห็นก็ไม่รู้ถึงความต้องการ แต่เมื่อมาสัมผัสด้วยตัวเองก็รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ตอบสนองความพึงพอใจสูงสุด
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ,
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2549
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/13868