ถาม : เป็นที่รู้กันว่าลมยางของยางแต่ละเส้น ควรเติมเท่าที่ในคู่มือใช้รถแนะนำ หากเติมเกินกว่าที่กำหนดไว้ ย่อมส่งผลไม่ดีกับยาง แล้วทำไมเวลาเดินทางไกล จึงแนะนำให้เติมลมมากกว่าปกติอีกนิดหน่อย ทั้งที่จริงการเติมลมมากเกิน อาจทำให้ยางระเบิดเสียหายได้ ?

ลมยาง ฉบับแรกจาก สิทธิ/กทม. ข้องใจในเรื่องแรงดันลมยาง ถาม : เป็นที่รู้กันว่าลมยางของยางแต่ละเส้น ควรเติมเท่าที่ในคู่มือใช้รถแนะนำ หากเติมเกินกว่าที่กำหนดไว้ ย่อมส่งผลไม่ดีกับยาง แล้วทำไมเวลาเดินทางไกล จึงแนะนำให้เติมลมมากกว่าปกติอีกนิดหน่อย ทั้งที่จริงการเติมลมมากเกิน อาจทำให้ยางระเบิดเสียหายได้ ? ตอบ : แรงดันของลมยางของรถแต่ละรุ่น อาจจะไม่ค่อยเท่ากัน ซึ่งความแตกต่างนั้นขึ้นอยู่กับน้ำหนักของรถ รูปแบบของการใช้งานว่าใช้งานบนทางเรียบหรือบนทางวิบาก และที่สำคัญที่สุดคือ ความเร็วโดยเฉลี่ยของการใช้งาน ด้วยเหตุนี้เอง ในคู่มือการใช้งานของรถแต่ละยี่ห้อ จึงมีการกำหนดแรงดันมา เพื่อยางติดรถรุ่นนั้นโดยเฉพาะ มีการแบ่งแยกแรงดันลมยางของยางคู่หน้าคู่หลังอีก นอกจากนี้ยังมีการกำหนดถึงแรงดันลมยาง เมื่อรถต้องมีการบรรทุกหรือไม่มีการบรรทุกอีก การเติมแรงดันลมยางน้อยกว่าหรือมากกว่าที่กำหนดไว้ในคู่มือ ย่อมมีผลเสียต่อยางและความรู้สีกในการขับขี่แน่นอน การเติมแรงดันลมยางน้อยกว่าปกติ ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลขึ้น ต่างจากการเติมแรงดันลมยางมากเกินจะทำให้ความรู้สึกในการขับกระด้างมากๆ ไม่แตกต่างอะไรไปจากการนั่งเกวียนเลย ไม่ว่าจะเป็นการเติมลมยางน้อยกว่าหรือมากกว่า ย่อมทำให้หน้ายางสึกหรอไม่เท่ากัน โดยหากเติมลมยางน้อยเกินจะทำให้ส่วนบ่าของหน้ายางมีการสึกหรอมากกว่าส่วนอื่น ในขณะที่การเติมลมยางมากจะทำให้ส่วนกลางของหน้ายางมีการสึกหรอมากกว่า หลายคนเข้าใจว่า แรงดันลมยางก็เหมือนกับการเป่าลมเข้าไปในลูกโป่ง โดยหากเป่ามากเกินไปจะทำให้ลูกโป่งมีโอกาสเสี่ยงแตกมาก ซึ่งสำหรับยางรถยนต์แล้วอาจจะใช่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ในการขับรถเพื่อการเดินทางไกลนั้น เหตุที่ต้องมีการแนะนำให้เติมแรงดันลมยางมากกว่าปกติอีก 2-5 ปอนด์/ตารางนิ้ว หรือ PSI นั้น ก็เพราะจะช่วยให้โครงสร้างของยางไม่เกิดการบิดตัว จนทำให้เกิดเป็นความร้อนสะสม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของยางแตกระเบิดได้ แม้ว่าการขับรถเพื่อการเดินทางไกลโดยฉพาะในเวลากลางวันที่อากาศร้อนนั้น ความร้อนจากพื้นถนนจะส่งผ่านมายังตัวยางได้ แต่ก็ไม่มากเท่าไร เนื่องจากในขณะที่รถวิ่งนั้นแม้ว่าตัวยางจะร้อนเพราะการส่งถ่ายความร้อนจากพื้นถนนขึ้นมา แต่เพราะความเร็วที่รถวิ่งอยู่นั้นมีมากจนทำให้เกิดลมปะทะช่วยระบายไล่ความร้อนออกจากตัวยางตลอดเวลา ทำให้อุณหภูมิของยางไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะเหตุดังกล่าว ต่างจากการเติมแรงดันลมยางน้อยกว่าปกติ จะทำให้โครงสร้างของยางเกิดการบิดตัวไปมาเหมือนกับการเอาลวดมาบิดไปมาต่อเนื่องนานๆ จะทำให้เส้นลวดนั้นเกิดร้อนขึ้นมา เช่นเดียวกับโครงสร้างของยางเมื่อต้องมีการบิดตัวต่อเนื่องจะทำให้เนื้อยางเกิดความร้อนสะสมและเกิดการขยายตัว หากการขยายตัวนั้นมากเกินกว่าโครงสร้างยางจะรับไว้ได้ ก็จะทำให้ยางระเบิดได้ หวังว่าคุณคงจะเข้าใจได้ดีถึงการเติมลมยางเพื่อการใช้รถสำหรับการเดินทางไกลแล้วว่า ทำไมถึงต้องเติมแรงดันลมยางมากกว่าปกติ และที่สำคัญอย่าลืมเติมลมยางให้กับยางอะไหล่ด้วยนะ น้ำรั่ว ฉบับที่สองจาก สุรพล/จ. สมุทรสงคราม ปรึกษาเรื่องน้ำเข้ารถ ถาม : ผมใช้รถกระบะอยู่ และเมื่อใดก็ตามที่ต้องขับรถลุยในที่มีน้ำท่วมขัง มักจะประสบปัญหาพรมในรถเปียก จนปัจจุบันในรถเหม็นอับไปหมดแล้ว จะแก้ปัญหาเรื่องน้ำเข้ามาในรถได้อย่างไร ? ตอบ : เมื่อต้องขับรถลุยน้ำ หรือขับผ่านน้ำท่วม โดยปกติแล้วหากประตูปิดสนิท น้ำจะไม่สามารถเข้ามาในห้องโดยสารได้ แต่ถ้าปิดประตูสนิทแล้วน้ำยังเข้ามาในตัวรถได้อีก น่าจะเกิดจากมีรอยรั่วของรถจากที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นรูระบายน้ำที่พื้นตัวถังรถ ซึ่งรูระบายน้ำดังกล่าวจะมีปลั๊กยางสีดำอุดอยู่ หากปลั๊กยางนี้ปิดไม่สนิทหรือไม่มี น้ำก็สามารถเข้ามาในห้องโดยสารได้ จุดต่อมาอาจจะเป็นรูที่ผนังไฟร์วอลล์ หรือผนังที่กั้นระหว่างห้องเครื่องยนต์กับห้องโดยสาร รูที่ว่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นรูที่ทางบริษัทรับติดตั้งแอร์รถยนต์จะเจาะเพื่อร้อยสายท่อน้ำยาแอร์จากห้องเครื่องเข้ามาในห้องโดยสาร หากรูเจาะที่ว่านี้ไม่มีบุชยางหุ้มปิดหรือไม่มีการซีลอุดรอยรั่วอย่างดีแล้ว น้ำก็สามารถเล็ดลอดผ่านเข้ามายังรูที่ว่านี้ได้ ประการสุดท้าย แม้ว่าจะปิดประตูดีแล้ว น้ำก็ยังเข้าได้ อาจเกิดจากซีลยางขอบประตูเกิดการฉีกขาด หรืออาจจะเป็นรอยพับ รอยย่นเมื่อประตูถูกปิด ซึ่งการไม่แนบสนิทของซีลยางประตูนี้เองก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้น้ำเข้ามาในห้องโดยสารได้ ลองไล่หาสาเหตุดู เมื่อพบสาเหตุแล้วก็จัดการแก้ไขให้เรียบร้อย ส่วนปัญหาพรมเหม็น ก็ให้ถอดออกมาซักล้างด้วยผงซักฟอกแล้วตากแดดให้แห้งสนิท กลิ่นดังกล่าวก็จะหายไปเอง ทำไมต้อง 4H ฉบับสุดท้ายจาก ทรงธรรม/จ. นนทบุรี สงสัยในเทคนิคการขับ ถาม : การขับรถขับเคลื่อน 4 ล้อ บนเส้นทางทราย ทำไมถึงแนะนำให้ใช้เกียร์ 4H แทนที่จะเป็น 4L ? ตอบ : บนพื้นที่ๆ เป็นทางทรายนั้น ยังมีความแตกต่างในพื้นผิวทางวิ่งอีกมากมาย ทรายในบางที่มีการอัดตัวที่แน่นมาก แม้ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนแต่เพียง 2 ล้อหลัง รถก็ยังสามารถทะยานไปข้างหน้าได้ แต่บางพื้นที่ทรายอาจจะมีลักษณะที่ร่วนซุย การขับขี่อาจต้องใช้การขับเคลื่อนในแบบ 4L ซึ่งจะทำให้รถทะยานเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ เหตุที่แนะนำให้ใช้โหมดขับเคลื่อน 4H เมื่อวิ่งอยู่บนเส้นทางที่เป็นทรายนั้น ก็เพราะการขับเคลื่อนบนทางทรายจะใช้แรงโมเมนตัม หรือแรงที่เกิดจากการโยนตัวของรถมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการขับเคลื่อน การขับในโหมด 4H นั้น รถจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วพอประมาณ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงโมเมนตัมมากน้อยตามรอบความเร็ว เมื่อรถวิ่งไปได้ในระดับความเร็วหนึ่ง รถจะวิ่งไปเสมือนหินอยู่บนผิวทราย โดยที่หน้ายางไม่เกิดการตะกุยทางจนเป็นหลุมลึก ทำให้เกิดเป็นอุปสรรคขัดขวางการเคลื่อนที่ของรถ การขับในโหมด 4H บนทางทราย นอกจากจะทำให้รถใช้ความเร็วได้แล้ว ยังไม่ทำให้เกิดภาระแบกรับกับระบบขับเคลื่อนอีกด้วย แต่การขับบนทางทราย โดยอาศัยแรงโมเมนตัม ต้องระวังให้ดี เมื่อต้องขับเข้าโค้ง เพราะจะทำให้การขับเข้าโค้งเกิดการขืนตัวอย่างรุนแรง ทั้งจากแรงขืนจากพวงมาลัยและแรงส่งของตัวถังรถ