พิเศษ
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จัดคาราวาน ไฮลักซ์ วีโก บทพิสูจน์การเดินทางครั้งใหม่ ภาคต่อจากครั้งที่แล้ว ซึ่งเดินทางจากประเทศไทย ผ่านลาว เข้าชายแดนจีน ที่เมืองลา ผ่านสิบสองปันนา และเมืองต่างๆ มากมาย รวมทั้งเมืองใหญ่อย่าง คุนหมิง ต้าลี่ สิ้นสุดที่เมืองโบราณลี่เจียง บริเวณทางขึ้นเขามังกรหยก โดยครั้งนี้การเดินทางต่อจากลี่เจียง ไปสิ้นสุดที่หลังคาโลก นครลาซา เมืองหลวงของเขตปกครองพิเศษ ทิเบต ระยะทาง 2,548 กม. บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย เราจึงเรียกการเดินทางทริพนี้ว่า "EPISODE II คาราวาน ไฮลักซ์ วีโก สู่หลังคาโลก"
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด จัดคาราวาน ไฮลักซ์ วีโก บทพิสูจน์การเดินทางครั้งใหม่ ภาคต่อจากครั้งที่แล้ว ซึ่งเดินทางจากประเทศไทย ผ่านลาว เข้าชายแดนจีน ที่เมืองลา ผ่านสิบสองปันนา และเมืองต่างๆ มากมาย รวมทั้งเมืองใหญ่อย่าง คุนหมิง ต้าลี่ สิ้นสุดที่เมืองโบราณลี่เจียง บริเวณทางขึ้นเขามังกรหยก โดยครั้งนี้การเดินทางต่อจากลี่เจียง ไปสิ้นสุดที่หลังคาโลก นครลาซา เมืองหลวงของเขตปกครองพิเศษ ทิเบต ระยะทาง 2,548 กม. บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย เราจึงเรียกการเดินทางทริพนี้ว่า "EPISODE II คาราวาน ไฮลักซ์ วีโก สู่หลังคาโลก"
ก่อนออกเดินทางผู้ร่วมทริพจะต้องผ่านการตรวจร่างกายทดสอบความแข็งแกร่ง ทุกคน เพราะเราต้องขับรถด้วยตนเองบนเส้นทางทุรกันดาร เต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและแปรปรวน และที่แย่ที่สุดบนที่สูงในเส้นทางสู่หลังคาโลก ปริมาณออกซิเจนในอากาศจะเบาบางกว่าในไทย 25-30 % ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้ จึงต้องพร้อมทั้งคนและรถ
วันแรก
เดินทางสู่ลี่เจียง
เราเจอกันที่สนามบินดอนเมือง เวลา 7.30 น. เพื่อเดินทางโดยสายการบิน CHINA EASTERN AIRLINE สู่นครคุนหมิง แล้วจึงเดินทางต่อไปยังเมืองลี่เจียง ด้วยสายการบินภายในประเทศ AIR CHINA ในเวลาประมาณ 16.00 น. ตามเวลาในประเทศจีน ซึ่งเร็วกว่าบ้านเรา ราว 1 ชม.
สัมผัสแรกในลี่เจียง เรารู้ทันทีว่าอากาศที่เมืองนี้ร้อนกว่าครั้งแรก ทำให้ผมคาดการณ์ลึกๆ ว่าอากาศในทริพนี้ไม่น่าจะหนาวมากนัก ก่อนเข้าเมืองผมแหงนหน้าขึ้นไปมองบนยอดเขามังกรหยก แต่ยังไม่มีโอกาสเห็นยอดเขาหิมะที่สวยงามนั้น เพราะมีเมฆปกคลุมค่อนข้างเยอะ เพื่อนๆ และน้องๆ ที่ยังไม่เคยเดินทางมาในทริพแรกต่างถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอพพิงในเมืองนี้ เราโชคดีที่ได้โรงแรมติดกับแหล่งชอพพิง ทำให้การเดินทางในวันแรกของเราไม่เหนื่อยล้าและเต็มไปด้วยบรรยากาศสบายๆ
ช่วงค่ำมีอาหารไทยเป็นมื้อแรกและมื้อสุดท้ายในทริพนี้ ปิดท้ายด้วยการฟังบรรยายสรุปเส้นทาง และการเตรียมตัวในวันรุ่งขึ้น
วันที่สอง
แชงกรีลา-เต๋อชิง
วันนี้เป็นวันแรกของการเดินทางด้วยรถยนต์ ทุกคนตื่นแต่เช้าลงมากินอาหารในโรงแรม ที่ประกอบด้วย ข้าวต้ม หมั่นโถ และผักดอง รวมถึงอาหารฝรั่ง ไส้กรอกไข่ดาว ก่อนจัดสัมภาระขึ้นรถ หลังจากเก็บภาพหมู่หน้าโรงแรม ทุกคนขึ้นรถพร้อมออกเดินทางแบบคาราวาน นำโดยรถเบอร์ 01 กิตติ นิลถนอม จากทรานส์ เอเชีย รูท เรียงไปจนถึงเบอร์ 15 ปิดท้ายด้วยรถเซอร์วิศ
ในทริพนี้มีคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน ร่วมเดินทางไปให้ความรู้กับเราผ่านวิทยุ เอฟเอม 108 ด้วย นำโดยอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อาจารย์วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ อาจารย์สัมฤทธิ์ ลือชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา อารยธรรม และประวัติศาสตร์ ของจีน และทิเบต
เส้นทางช่วงเช้าลัดเลาะแนวเทือกเขาหิมะมังกรหยกด้านหลังผ่านชุมชนย่านชานเมือง ตามแนวไหล่เขาอันเป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำแยงซี หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า แม่น้ำหยางสื่อเจียง หรือ
แม่น้ำทรายทอง เพราะน้ำเป็นสีน้ำตาลขุ่น ในช่วงบ่ายผ่านเต๋อชิง มาเจอแม่น้ำโขง ชาวท้องถิ่นจะเรียกว่า แม่น้ำล้านช้าง และพอเริ่มเข้าสู่ทิเบตตอนใต้ก็จะเจอกับแม่น้ำสาละวิน เส้นทางที่จะเดินทางขึ้นไปจะเข้าสู่ต้นกำเนิดของแม่น้ำ 3 สายนี้ ซึ่งมีความหลากหลายทางธรรมชาติ วัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ ในทิเบต แม่น้ำ 3 สายนี้ได้รับการประกาศให้เป็นแหล่งมรดกโลก
เราเดินทางในระยะทาง 190 กม. สู่แชงกรีลา เมืองท่องเที่ยวสวยงามและมีความสำคัญเมืองหนึ่งในมณฑลยูนาน ได้รับอารยธรรมจากทิเบตเข้ามา มีวัดลามะที่ใหญ่ที่สุดในเขตมณฑลนี้ชื่อ วัดซงจ้านหลินซื่อ หรือ วัดกุ้ยหัว ในช่วงจำพรรษาจะมีพระลามะมาจำพรรษามากถึง 700 รูป สร้างขึ้นในปี พศ. 2222 โดยดาไลลามะองค์ที่ 5 ใช้เวลาก่อสร้างถึง 18 ปี
หลังอาหารมื้อเที่ยงที่เมืองจงเตี้ยน หรือชื่อที่ทางการจีนตั้งขึ้นใหม่ว่า "แชงกรีลา" อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,800 ม. เรามุ่งหน้าสู่วัดซงจ้านหลินซื่อ วัดแรกของการเดินทางทริพนี้ เพื่อไปเคารพสักการะ และชมความยิ่งใหญ่ สวยงาม เส้นทางจากที่จอดรถเข้าสู่วัดนั้นค่อนข้างสูง ต้องค่อยๆ เดินขึ้นไปบนวัด อากาศค่อนข้างเบาบางและเย็น กว่าจะถึงเล่นเอาทั้งหอบและเหนื่อยทุกคน กลับลงมาจากวัดก็พลันเสียอารมณ์กับสภาพห้องน้ำสไตล์เดิมๆ ของที่นี่ คือห้องถ่ายหนักและเบาอยู่รวมกันโดยไม่มีประตู มีเพียงคอกเล็กๆ กั้น ทำให้บรรยากาศสวยงามที่พยายามขึ้นไปเก็บมาแทบมลายหายไปในพริบตา น่าแปลกใจว่าเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งได้รับการพัฒนาและอนุรักษ์ให้สวยงาม แต่ห้องน้ำซึ่งเป็นที่สาธารณะ กลับไม่ให้ความสำคัญแม้แต่น้อย
เราเดินทางต่อไปยังเมืองเต๋อชิง ผ่านแม่น้ำน้อยใหญ่มากมาย และได้สัมผัสกับความงดงามของทะเลสาบนะปาไห่ โค้งนับร้อยพัน ทั้งซ้ายและขวา จนต้องถามกันเล่นๆ ว่าเส้นทางนี้มีทางตรงบ้างหรือเปล่า เพราะที่ขับมามีแค่ขวากับซ้ายเท่านั้น ยังไม่ได้จับพวงมาลัยแบบตรงๆ ให้ผ่อนคลายได้เลย นอกจากนี้ยังเป็นเส้นทางธรรมชาติ สามารถพบเห็นฝูงแกะ ฝูงจามรี บนทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ เส้นทางก่อนเข้าเมือง และเห็นยอดเขาไป๋หม่าง อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 4,250 ม. ซึ่งเป็นระดับความสูงที่สุดของเส้นทางสาย 214 ลมเย็นสบายพัดผ่านตลอด อากาศค่อนข้างหนาวเย็น เฉลี่ยอยู่ที่ 9-10 องศาเซลเซียส
ค่ำวันนั้นเราเสียเวลาจากการถ่ายรูปตลอดเส้นทางกว่า 2 ชั่วโมง ทำให้ถึงโรงแรมล่าช้ากว่ากำหนด คืนนี้พักกันที่โรงแรมเรนโบว์ ระดับ 2 ดาว พอมาถึงตัวโรงแรม ไฟดับสนิท พวกเราทุกคนต่างกังวล เพราะต้องการชาร์จแบทเตอรี กล้องดิจิทอล และกล้องวีดีโอ โชคดีที่ตอนดึกไฟก็มาให้พวกเราชาร์จไฟได้บ้างก่อนรุ่งเช้าจะไม่มีไฟอีกครั้ง สภาพของเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ท่ามกลางหุบเขาสูง ตัวโรงแรมและร้านค้าตั้งอยู่ในแนวลาดเอียงเหมือนทางลงเขา หากเดินชอพพิงเพลินๆ ขากลับอาจหมดแรงได้
วันที่สาม
เดินทางสู่เมืองหมางคัง
รุ่งเช้า เพื่อนๆ หลายคนรีบตื่น ขับรถไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูเขาเหมยลี่ 13 ยอดภูเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี แต่ก็พลาดโอกาสนี้ไปเนื่องจากสภาพอากาศท้องฟ้าปิด
โชคดีที่เส้นทางสู่เมืองหมางคังในตอนเช้าเราจะผ่านจุดชมวิวนี้ จึงได้มีโอกาสชม 13 ยอดภูเขาหิมะเหมยลี่ ที่มีความสวยงาม ถึงแม้ว่าจะมีเมฆปกคลุมส่วนใหญ่ก็ตาม ยอดเขาที่สูงสุดคือ ยอดคาเกโบ มีความสูงถึง 6,740 เมตร จากระดับน้ำทะเล บนภูเขาเหมยลี่ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เมื่อก่อนเคยเป็นสถานที่ท้าทายของนักปีนเขาชาวญี่ปุ่น แต่ท้ายสุดต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ถึง 17 ชีวิต เนื่องจากหิมะถล่มบนภูเขา ตราบจนทุกวันนี้ไม่มีใครสามารถพิชิตความยิ่งใหญ่ของภูเขาหิมะอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้สำเร็จ มีเพียงผู้จาริกแสวงบุญที่ผ่านไปมาบนเส้นทางสายนี้ จนเป็นที่รู้จักและมักจะได้รับการบอกกล่าวว่านี่คือ เทือกเขาไกรลาศตะวันออก
นอกจากนี้ระหว่างทางยังได้ตื่นตาตื่นใจกับธารน้ำแข็งหมิงหย่ง "กราเซีย" น้อยใหญ่ ที่เป็นธารน้ำแข็งละลายลงมาจากยอดเขาสวยงาม วิวสวยงามจนทำให้รถของเพื่อนร่วมคาราวานล้อหน้าตกลงไปในคูน้ำข้างทาง เราเสียเวลาไม่ถึง 10 นาที ก็สามารถเดินทางต่อได้ วันนี้ต้องเดินทางผ่านยอดเขาสูง จากระดับน้ำทะเลถึง 4,185 เมตร และมีความสูงเฉลี่ยตลอดเส้นทางประมาณ 3,500-4,000 ม. ซึ่งทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ง่วงนอนได้ง่าย
วันนี้ต้องขับในทางฝุ่นตลอด ผ่านหุบเหวลึกและยอดเขาสูง สภาพพื้นที่แห้งแล้งมาก ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ถูกใช้งานกันเต็มที่ เพราะเป็นทางลูกรังกรวดลอย ค่อนข้างอันตรายมาก ความเร็วที่ใช้ประมาณ 60-80 กม. ระบบช่วงล่างแบบทอพ พแลทฟอร์ม ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ มีดินและหินถล่มเป็นช่วงๆ ยังสามารถควบคุมพวงมาลัยได้ดี ระบบรองรับนุ่มนวล ไม่ทำให้ผมและเพื่อนๆ ในรถรู้สึกอึดอัด
ช่วงเช้า เราแวะทานอาหารมื้อเที่ยงอยู่ในร้านอาหารระหว่างทางที่ "เมืองฟูซาน" โดยใช้เวลาไม่นานนัก เพราะต้องรีบไปข้ามสะพานเสียวหลงปา ให้ทันก่อนสะพานปิด 14.00 น
พวกเรามาถึงสะพานก่อนเวลาปิดเพียง 10 นาที รถในขบวนหยุดเก็บบรรยากาศทิวทัศน์สวยงามของเทือกเขาต้นน้ำ หลาน ซาง เจียง ที่สลับซับซ้อน พร้อมดื่มกาแฟร้อน บนสะพานที่กำลังก่อสร้างก่อนเดินทางต่อ
แสงแดดจัดจ้านและอากาศเย็นทำให้ใบหน้าเริ่มแห้งและแสบ ครีมกันแดด และวิตามินซี ที่นำติดตัวมาด้วย ช่วยให้เราสดชื่นขึ้นและไม่แสบหน้ามากนัก เราเดินทางต่อผ่านเขตมณฑลยูนาน เข้าสู่มณฑลทิเบต ซึ่งมีความสูงถึง 4,185 ม. จากระดับน้ำทะเล เครื่องยนต์ยังทำงานได้ดี แม้จะต้องกดคันเร่งมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากอากาศเบาบางออกซิเจนน้อย และฝุ่นที่เข้ามาในกรองอากาศมาก แต่ยังไม่มีควันดำจากท่อไอเสียของรถที่วิ่งข้างหน้าเราให้เห็นแม้แต่น้อย แสดงว่าสมรรถนะการทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพมาก เส้นทางจากนี้ยังเป็นเส้นทางฝุ่นตลอดก่อนเข้าเมือง โอบล้อมด้วยธรรมชาติสวยงาม เลียบแม่น้ำล้านช้าง หรือ แม่น้ำโขง เห็นเด็กๆ ชาวทิเบต และสภาพความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมือง จนถึงที่หมายประมาณบ่ายสามโมงเศษ รวมระยะทางในวันนี้ 215 กม.
วันนี้เราต้องพักที่โรงแรมเล็กๆ ชื่อ กังเซง ตั้งอยู่ในเมือง ยังไม่เจริญหูเจริญตามากนัก น้ำจะไหลประมาณ 2 ทุ่มของทุกวัน เรานอนที่ความสูงประมาณ 3,800 ม. จากระดับน้ำทะเล ความกดอากาศ 639 มิลลิบาร์ ทำให้คืนนั้น ต้องนอนท่ามกลางอากาศหนาว หายใจเหนื่อย แน่นหน้าอก และปวดหัวตลอดเวลา ยาพาราเซตามอลที่ได้มาเป็นกอบเป็นกำ ต้องนำมาใช้สู้กับอาการ ATTITUDE SICKNESS หรือ อาการปวดหัว หายใจถี่ คลื่นไส้อาเจียน ที่มักเจอในภูมิประเทศที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมากๆ หลังจากกินยาใช่ว่าจะดีขึ้น ผมและเพื่อนต้องอดทนกับความปวดศีรษะ ที่เหมือนมันจะแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ ตลอดคืน
วันที่สี่
354 กม. เส้นทาง หมางคัง-ปางต้า-ปาซู
เราตื่นเช้าขึ้นมาในสภาพร่างกายอิดโรยและปวดหัว เก็บเสื้อผ้าแล้วลงมาทานอาหารเช้า ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น เพื่อนๆ หลายคนต่างนั่งและนอนปวดหัวหมดสภาพกันที่ลอบบีของโรงแรม มาม่าและกาแฟร้อน ใช้เป็นอาหารมื้อเช้าแทนที่จะเดินไปร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรม ไม่นานบรรยากาศก็เริ่มดีขึ้น พอมีกำลังใจร่างกายก็เริ่มแข็งแรงพร้อมเดินทางต่ออีกครั้ง
วันนี้เรามุ่งหน้าสู่ดินแดนหลังคาโลก เขตปกครองพิเศษทิเบต คาราวาน ไฮลักซ์ วีโก เดินทางออกจากเมืองหมางคัง ผ่านที่ราบทุ่งหญ้าอันงดงาม ทอดตัวเขียวขจีจากเขาสู่เขาสุดสายตา สองข้างทางเต็มไปด้วยวิถีชีวิตขชองชาวทิเบตแท้ๆ หาเลี้ยงตนเองด้วยการเลี้ยงสัตว์ ปลูกข้าว ไม่นานนักบรรยากาศตื่นเต้นระทึกใจกลับมาอีกครั้งกับสภาพเส้นทางลูกรังแบบกรวดลอย ขนาบข้างด้วยเหวลึก ด้านล่างเป็นต้นน้ำของลำน้ำโขง ที่ความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 3,500-4,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล อากาศแปรปรวนมาก บางช่วงมีฝน ขึ้นที่สูงมากจะมีหิมะตกให้เห็นบ้างเล็กน้อย แต่พอลงจากที่สูง สภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงอีก วันนี้เวลาเพียง 15 นาที เราเจอกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงจาก 24 องศาเซลเซียส มาเป็น 5-0 องศาเซลเซียส ไม่นานอากาศก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง กำลังเครื่องยนต์ของ ไฮลักซ์ วีโก ยังรีดพลังออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ระบบรองรับที่ทำให้ควบคุมพวงมาลัยได้อย่างแม่นยำ ช่วยสร้างความมั่นใจขึ้นมาได้
คาราวานต้องหยุดรถอีกครั้งเพราะรถนำขบวนแจ้งว่า สะพานข้างหน้าขาด เราหยุดรถรอการซ่อมทางประมาณ 3 ชั่วโมงกว่า ฆ่าเวลาด้วยกาแฟสำเร็จรูปที่ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น หลังจากนั้นเดินทางต่อ เพื่อนร่วมคาราวานหนึ่งท่านถึงกับเดินทางต่อไม่ไหว ต้องไปกับรถ โตโยตา ปราโด ซึ่งเป็นรถติดตาม มีหมอทหารชาวจีนยศพันเอก คอยดูแล
วันนี้พวกเราได้กินอาหารมื้อเที่ยงเกือบ 4 โมงเย็นที่เมืองจู้กง ก่อนเดินทางอีก 160 กิโลเมตร ไปยังเมืองปาซู่ ในเวลา 4 ทุ่มตรง เรารีบทานอาหารค่ำ ให้เสร็จอย่างว่องไว เพราะต้องรีบแยกย้ายกันไปนอนที่โรงแรมแบบเกสต์เฮาส์ถึง 3 แห่งด้วยกัน เป็นอีกวันที่เราค่อนข้างลำบาก แถมน้ำในโรงแรมยังไม่ไหลอีก
วันที่ห้า
ปาซู-โพมี่
วันแรกในมณฑลซีจ้าง หรือเขตปกครองพิเศษทิเบต
เราออกเดินทางแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบหลังจากเหนื่อยล้ากันมาหลายวัน บนถนนราดยางเลียบแม่น้ำสายเล็กๆ สีฟ้าดูใสสะอาด สลับกับโตรกหินขนาดใหญ่ดูสวยงาม โอบล้อมด้วยเขาสูงสีน้ำตาล มีต้นไม้เล็กๆ ปกคลุม เราเดินทางเลียบผ่านลำน้ำนูเจียง สองข้างทางเต็มไปด้วยอารยธรรมและวิถีชีวิตของชาวทิเบตดั้งเดิม วันนี้พวกเราหลายคนเริ่มที่จะปรับตัวเข้ากับอากาศในที่สูงได้แล้ว เสียงแซวกันผ่านวิทยุคลื่นสั้น สอดแทรกกันตลอดเส้นทาง ส่วนคลื่นวิทยุ เอฟเอม 108 จะเป็นการบรรยายของอาจารย์ทั้ง 3 ท่าน เราแวะจอดถ่ายภาพกับยอดภูเขาหิมะและกราเซียที่ละลายลงสู่ลำน้ำ อาหารมื้อเที่ยงรอพวกเราอยู่ที่เมืองใหม่ ใกล้กับทะเลสาบหยางหวู
หลังจากทุกคนอิ่มท้อง จึงเดินทางต่อไปยังเมืองโพมี่ ระยะทาง 135 กิโลเมตร ใช้เวลา 3 ชั่วโมง เส้นทางช่วงนี้จะเห็นวิวคล้ายกับทะเลทรายโกเบ เพราะเป็นภูเขาหินทราย อากาศเย็นสบาย 5 โมงเย็นคาราวานเดินทางเข้าสู่ที่พักในเมืองโพมี่ ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,800 เมตร วันนี้ทุกคนกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง เพราะนอนที่ความสูงไม่มากนัก จัดว่าอยู่สูงกว่าระดับยอดดอยอินทนนท์เล็กน้อย เราแบ่งกันนอน 2 โรงแรม ห่างกันประมาณ 100 เมตร บรรยากาศเมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ล้อมรอบด้วยภูเขาน้ำแข็ง ในหน้าหนาวจะมีหิมะตกปกคลุมตลอด
หลังจากมาถึงไม่นาน เสียงโทรศัพท์แจ้งเตือนจากทางทหารห้ามทุกคนเดินเล่นเกินเขตพื้นที่ทหาร ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่พวกเราก็ยังออกเดินเพื่อเที่ยวชมตลาดเลือกดูสินค้าในร้านสองข้างทางกันอย่างจุใจ ก่อนเข้านอน โดยไม่มีเหตุผิดปกติ
วันที่หก
เส้นทางโพมี่-ไบยี่ สู่ความเจริญระดับไอที
วันนี้ตื่นขึ้นมาด้วยร่างกายที่สดใสอีกครั้ง อากาศเย็นสบายในตอนเช้าทำให้ทุกคนกระปี้กระเปร่า ตามกำหนดการเราจะเข้าเมืองไบยี่ เมืองใหญ่ค่อนข้างเจริญ ระยะทางประมาณ 240 กิโลเมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติงดงาม เราออกเดินทางจากโรงแรมประมาณ 9.00 น. ผ่านชานเมืองไปได้ไม่นานขบวนรถก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางธรรมชาติสวยงามอีกครั้งและทางฝุ่นทุรกันดารสลับ ลัดเลาะหุบเขาน้อยใหญ่ ที่ความสูงเฉลี่ยประมาณ 2,400-3,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล
เส้นทางหลายช่วงต้องผ่านเขตก่อสร้างถนนทำให้เสียเวลา บางจุดชาวบ้านในละแวกนั้นฉวยโอกาสขณะเส้นทางถูกปิด เก็บค่าผ่านทางที่ใช้ลัดเลาะเข้าในเขตหมู่บ้านระยะทางไม่เกิน 500 เมตร รถทุกคันที่ผ่านต้องเสียเงินคันละ 100 หยวน หรือประมาณ 514 บาท หลังจากผ่านจุดนั้นมาได้ไม่นาน ก็ต้องเจอกับเส้นทางปิดอีกครั้ง เพราะมีคนงานกำลังสร้างถนนอยู่ที่นั่น หากเจอการทำถนนหรือสะพานอยู่ เส้นทางนั้นต้องถูกปิด ไม่ว่าจะเป็นรถใครใหญ่แค่ไหนก็ไม่สามารถผ่านไปได้ เขาปิดทางตั้งแต่เวลา 8.00 น. จนถึง 17.00 น. เราเสียเวลาถึง 6 ชั่วโมง อยู่ตรงนั้น เลยถือโอกาสพักผ่อนในบรรยากาศริมน้ำ
อาหารมื้อเที่ยงในเมืองเล็กๆ ข้างหน้าต้องถูกยกเลิก หันมาพึ่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ขายอยู่ในร้านข้างถนนเป็นอาหารมื้อเที่ยงแทน ร้านแถวนั้นขายดีจนแทบเกลี้ยงร้าน โชคดีที่เราไม่โดนโก่งราคาค่าอาหารอีก ช่วงบ่ายปิดท้ายด้วยกาแฟหอมๆ จากท้ายรถเซอร์วิศ และไข่ต้มที่เราแอบหยิบติดตัวมาจากโรงแรมทุกครั้ง สมาชิกทุกคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อน บ้างก็นั่งเล่นริมน้ำ บางคนก็นำไพ่ที่ติดตัวมาตั้งวงเล่นแก้เบื่อ
ก่อนเวลา 17.00 น. เจ้าหน้าที่ทำถนนกำลังเลิกงาน ขบวนคาราวาน ไฮลักซ์ วีโก สามารถเคลื่อนออกจากเส้นทางนั้นได้ รถที่วิ่งสวนกันไปมาค่อนข้างหนาแน่นและอันตรายมาก สองข้างทางแคบและมีจุดทำถนนเยอะ ฝุ่นหนาขับลำบากมาก เพราะต้องวิ่งตามกันและต้องระวังรถที่วิ่งสวนมา ซึ่งมีรถบรรทุกขนาดใหญ่ค่อนข้างเยอะ เส้นทางช่วงนี้ต้องใช้ความสามารถทั้งบู๊และบุ๋นกันเต็มที่ ดีที่ ไฮลักซ์ วีโก มีเครื่องยนต์กำลังแรง พร้อมเทอร์โบแปรผัน ให้แรงบิดสูงที่รอบต่ำ เลยสามารถเกาะติดกันไปได้ตลอด ทำให้ขบวนในช่วงนี้ไม่ขาด
เราเดินทางต่อไปจนเข้าถนนราดยาง มุ่งหน้าสู่เมืองไบยี่ ถนนช่วงนี้เป็นถนนราดยางลัดเลาะเขาสูงชันมาก สภาพอากาศค่อนข้างชื้นมีฝนตก ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบฟูลล์ไทม์ ไฮ ถูกใช้งานอีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจในการเข้าโค้ง ซึ่งทำได้ดีมาก โชคดีที่เราไต่เขาสูงตอนกลางคืนจึงใช้ความเร็วกันได้มากขึ้น เนื่องจากมองไม่เห็นภาพเหวลึกข้างทาง ไม่นานนักก็เริ่มเข้าเมืองไบยี่ มองเห็นความเจริญ ถนนที่กว้างใหญ่ ไฟเขียวไฟแดง ตึกใหญ่ ร้านค้า ร้านอินเตอร์เนททันสมัย และผู้คนมากมาย ซึ่งหลายวันที่ผ่านมาไม่ได้เจอะเจอกับเมืองใหญ่แบบนี้เลย
อาหารมื้อค่ำวันนี้ เรามีโอกาสลิ้มรสกับบุฟเฟ่ท์ของร้านอาหารที่ได้รับการตกแต่งสไตล์ทิเบต ดูสวยงาม พร้อมอาหารหลากหลายให้ได้ลิ้มลองรสชาติ นอกจากนี้ทางร้านยังจัดให้มีการร้องเพลงต้อนรับพร้อมกับการจิบชานม ของชาวทิเบต ซึ่งเป็นชานมอุ่นๆ มีน้ำตาลไว้ให้เติมเพิ่มรสชาติ แต่ก็ไม่ช่วยให้กลิ่นคาวจากนมลดน้อยลงไป หลังจากทุกคนสนุกกับการแสดงของสาวชาวทิเบตที่เข้ามาร้องเพลงต้อนรับขับกล่อม ก็เดินทางเข้าพักในโรงแรมฟูเจี้ยน ระดับ 4 ดาว ขนาดใหญ่
หกวันแรก เป็นการพิสูจน์การเดินทางในสภาพเส้นทางที่ทรหด ทุกคนสามารถฝ่าฟันอุปสรรคที่ไม่เคยเจอะเจอ ผ่านไปได้ทั้งคนและรถ มีเพื่อนร่วมทริพของเราเพียงคนเดียวที่มีปัญหาการปรับสภาพร่างกาย นอกนั้นมีกำลังกายและกำลังใจดีทุกคน เครื่องยนต์และระบบรองรับ ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่พบปัญหาและอุปสรรคเลยแม้แต่คันเดียว อัตราเร่งดีเยี่ยม ระบบรองรับดี ช่วยให้ควบคุมรถง่าย เส้นทางวันต่อไปจะหนักแค่ไหน ต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคอะไรอีกบ้าง ติดตามกันในตอนจบ
เรื่องโดย : ณัฐเวช ยอดแสง
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/13402