เทคนิค
ฉบับแรกจาก กาญจนา/กทม. สงสัยเกี่ยวกับเรื่องของระบบเกียร์ในรถ แลนด์ โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์
สเตพทรอนิค คืออะไร
ฉบับแรกจาก กาญจนา/กทม. สงสัยเกี่ยวกับเรื่องของระบบเกียร์ในรถ แลนด์ โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์
ถาม : ดิฉันซื้อรถ แลนด์ โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ มือสองมาใช้ โดยที่ไม่มีคู่มือการใช้งานรถมาให้ รู้แต่ว่ารถคันนี้ใช้เกียร์แบบ สเตพทรอนิค แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร และมีวิธีการใช้งานที่ถูกต้องอย่างไรบ้าง แนะนำด้วยคะ ?
ตอบ : ระบบเกียร์ สเตพทรอนิค ในรถ แลนด์ โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ นั้นในความเป็นจริงแล้ว มันก็คือเกียร์ธรรมดานี่เอง ในการใช้งานก็เพียงแต่โยกคันเกียร์ขึ้นเพื่อเปลี่ยนเกียร์ไปในตำแหน่งที่สูงขึ้น และโยกคันเกียร์ลงเมื่อต้องการเปลี่ยนเกียร์ไปในตำแหน่งที่ต่ำลง การเปลี่ยนเกียร์จะมีสองลักษณะคือ เปลี่ยนเกียร์ในขณะที่รถจอดสนิทอยู่กับที่ กับเปลี่ยนเกียร์ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่อยู่
โดยในขณะที่รถจอดสนิทอยู่กับที่นั้น คุณก็เพียงโยกคันเกียร์จากตำแหน่ง D มาทางขวา ที่หน้าปัดจะมีคำว่า SPORT โชว์ขึ้นมา เมื่อคุณเลื่อนคันเกียร์ลงก็เท่ากับเป็นการออกรถด้วยเกียร์ 1 เมื่อโยกคันเกียร์ขึ้นก็เท่ากับเปลี่ยนเป็นเกียร์ 2 และ 3 ไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าเป็นการเปลี่ยนเกียร์ในขณะที่รถกำลังเคลื่อนที่อยู่นั้น เพราะระบบเกียร์หลักของรถ แลนด์ โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ เป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ระบบคอมพิวเตอร์สมองกลที่ใช้ในการควบคุมการทำงานของเกียร์จะเป็นตัวเลือกอัตราทดเกียร์ที่เหมาะสมกับความเร็วของรถในขณะนั้นให้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อคุณต้องการควบคุมการเปลี่ยนเกียร์มาเป็นแบบเกียร์ธรรมดา ก็สามารถทำได้โดยโยกคันเกียร์จากตำแหน่ง D ไปทางด้านขวา แล้วเลื่อนขึ้นเพื่อเปลี่ยนเกียร์ไปในตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือโยกคันเกียร์ลงเมื่อต้องการเปลี่ยนเกียร์ไปในตำแหน่งที่ต่ำลง สมมติว่าขณะนั้นคุณกำลังขับรถอยู่ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. แล้วต้องการเปลี่ยนเกียร์ลงมาต่ำอีก 1 จังหวะเพื่อทำการเร่งแซง ก็เพียงแต่โยกคันเกียร์ลงมาทางด้านล่าง 1 ครั้ง ก็เท่ากับเป็นการเปลี่ยนเกียร์จากเกียร์ 5 มาเป็นเกียร์ 4 แต่ถ้าคุณโยกคันเกียร์ลง 2 ครั้ง ก็เท่ากับเปลี่ยนเกียร์จากตำแหน่งเกียร์ 5 มาเป็นเกียร์ 3 ซึ่งทำให้คุณสามารถเร่งลากรอบเครื่องยนต์เพื่อทำการเร่งแซงได้อย่างมั่นใจ และเมื่อคุณเร่งแซงไปจนถึงตำแหน่งที่ปลอดภัยแล้ว ก็เพียงโยกคันเกียร์ขึ้นเพื่อเปลี่ยนเกียร์ไปในตำแหน่ง
ที่สูงขึ้นต่อไป
ความเชื่อส่วนตัวที่ว่า หากโยกคันเกียร์ผิดจังหวะไม่เหมาะสมกับความเร็วรถแล้ว จะทำให้ระบบเกียร์เสียหายนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากตำแหน่งของเกียร์ที่ใช้จะมีกล่องสมองกลคอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมให้มีการใช้อัตราทดเกียร์ให้เหมาะสมกับความเร็วรถ
ในช่วงใหม่ๆ ของการสร้างความคุ้นเคยในการใช้เกียร์ อาจจะติดๆ ขัดๆ ไม่ค่อยนุ่มนวลสักเท่าไร แต่ขอให้ใช้เวลาในการสร้างความคุ้นเคยสักนิด แล้วคุณจะมีความคุ้นเคยกับการใช้เกียร์สเตพทรอนิค ไปเอง
ผ้าเบรค
ฉบับที่สองจาก พงษ์เทพ/จ. ปราจีนบุรี ขอข้อมูลเพื่อการตัดสินใจในการเปลี่ยนผ้าเบรค
ถาม : ผมใช้รถ ซูซูกิ แคริเบียน อยู่ ใช้งานมาเกือบ 5 ปีแล้ว รู้สึกว่าผ้าเบรคจะเหลืออยู่ไม่มากแล้ว คิดว่าอีกไม่นานนี้จะเปลี่ยนผ้าเบรคชุดใหม่ แต่ยังลังเลใจอยู่ว่าจะเปลี่ยนใช้ผ้าเบรคยี่ห้อใด แบบใดดี รถผมส่วนใหญ่จะใช้งานอยู่บนทางเรียบเสียส่วนใหญ่ จะมีบ้างนานๆ ครั้งถึงจะเอารถไปลุยบนทางวิบาก ?
ตอบ : หลักๆ เลยนั้นผ้าเบรคที่มีใช้อยู่ในท้องตลาดจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของส่วนผสมที่แทรกตัวอยู่ในเนื้อผ้าเบรค แต่ละยี่ห้อจะพยายามค้นคว้าและวิจัยหาส่วนผสมที่เหมาะสมที่สุดมาใช้ ซึ่งก่อนหน้านี้ผ้าเบรคส่วนใหญ่จะเลือกใช้แร่ใยหิน หรือแอสเบสตอส มาทำผ้าเบรค แต่ปัจจุบันมีการห้ามใช้แล้ว เนื่องจากตรวจพบว่าแร่ใยหินเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดมะเร็ง แม้ว่าแร่ใยหินจะมีค่าสัมประสิทธิ์ต้านแรงเสียดทานที่สูง แต่แร่ใยหินก็มีอัตราการสึกหรอที่สูงมากเช่นกัน เมื่อแร่ใยหินถูกเสียดสีเป็นละอองฟุ้งไปในอากาศก็เป็นตัวสร้างมลภาวะให้กับอากาศเป็นอย่างมาก
ผ้าเบรคปัจจุบันส่วนใหญ่จะใช้เส้นใยหล่อมาหล่อรวมกับพวกผงโลหะ เพื่อให้มีการทนต่อความร้อนอันเกิดจากการเสียดสีได้ดี ลดอาการเบรคไม่จับ หรือเบรคเฟดให้มีน้อยลง หรือเกิดในช่วงอุณหภูมิสูงๆ เท่านั้น ผ้าเบรคที่แพงขึ้นมาอีกหน่อยจะทำมาจากส่วนผสมของโลหะอัลลอยกับผงทองแดง เพื่อให้มีแรงเสียดทานมากๆ และทนความร้อนต่อการใช้งานสูงๆ ได้ดี
นอกจากส่วนผสมของผ้าเบรคแล้ว เกรดของผ้าเบรคก็เป็นเรื่องสำคัญ เกรดของผ้าเบรคในท้องตลาดจะแบ่งออกเป็น 3 เกรดด้วยกัน คือ S, M, และ P เกรด S เป็นเกรดสแตนดาร์ดมาตรฐานทั่วไป เนื้อผ้าเบรคจะนุ่ม จับเบรคได้ดีในช่วงความเร็วต่ำไปจนถึงความเร็วที่ไม่สูงมากเกินไป ให้การหยุดรถที่มีความนุ่มนวลเป็นอย่างมาก หากเป็นการเบรคในช่วงความเร็วสูงมากๆ อาจทำให้ผ้าเบรคไหม้ หรือเกิดอาการเบรคเฟดได้ ผ้าเบรคเกรด S นี้เหมาะกับรถที่ใช้งานทั่วไป เน้นความนุ่มนวล ไม่ใช้ความเร็วสูงนัก
ส่วนเกรด M และ P นั้นจะให้ประสิทธิภาพในการเบรคสู้เกรด S ไม่ได้ เนื่องจากมีค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานที่สูงกว่า ทำให้เนื้อผ้าเบรคค่อนข้างจะแข็งกระด้าง อันเป็นผลมาจากส่วนผสมของผงโลหะที่แทรกตัวอยู่ในเนื้อผ้าเบรค แต่จะตอบสนองการใช้งานได้ดีกับรถที่ใช้ความเร็วสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ และต้องการระยะเบรคที่สั้นมากๆ
สำหรับรถ ซูซูกิ แคริเบียน ของคุณแล้ว แนะนำให้ใช้ผ้าเบรคเกรด S ก็เพียงพอแล้ว เพียงแต่เลือกชนิดและยี่ห้อของผ้าเบรคแบบที่ดีหน่อยก็แล้วกัน ประสิทธิภาพของเบรคจะดีได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับผ้าเบรคอย่างเดียว น้ำมันเบรคก็เป็นเรื่องสำคัญ ควรเลือก DOT ให้เหมาะสมกับการใช้งานด้วย นอกจากนี้การไล่ลมเบรคให้ออกจากระบบเบรคให้หมดก็ไม่ควรลืม แม้ว่าระดับของน้ำมันเบรคจะไม่พร่องไป แต่อย่างน้อยควรจะมีการเปลี่ยนน้ำมันเบรคปีละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะน้ำมันเบรคมีคุณสมบัติในการดึงความชื้นจากในอากาศสูง หากใช้งานต่อเนื่องไปนานๆ ความชื้นที่แทรกตัวอยู่ในน้ำมันเบรคจะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ภายในท่อเบรคเกิดการกัดกร่อนจากสนิมจนเป็นเหตุให้ท่อรั่วได้
กลิ่นอับในรถ
ฉบับสุดท้ายจาก อมรเทพ/กทม. ขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องของกลิ่นอับในตัวรถ
ถาม : รถที่ผมใช้อยู่เป็นรถ มิตซูบิชิ สตราดา ขับเคลื่อน 4 ล้อ ใช้งานมาได้กว่า 4 ปีแล้ว และพบว่าเมื่อไม่นานมานี้มีกลิ่นอับๆ ในห้องโดยสาร แม้ว่าจะพยายามใช้สเปรย์น้ำหอมฉีดดับกลิ่นนานาชนิดแล้ว กลิ่นดังกล่าวก็ยังมีอยู่ จะมีวิธีในการจัดการกับกลิ่นอับดังกล่าวได้อย่างไร ?
ตอบ : กลิ่นอับที่เกิดในห้องโดยสารนั้นมีสาเหตุมากมาย ไม่ว่าจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่เป็นเวลานานในตู้แอร์ กลิ่นอับจากการสูบบุหรี่ในรถ เศษอาหารหรือเศษขนมที่หล่นตกค้างอยู่ที่พื้นรถ พรมพื้นรถที่เปียกน้ำอับชื้นอยู่เป็นเวลานาน หรือประการสุดท้ายเกิดจากกลิ่นภายนอกรถโชยเข้ามาสะสมอยู่ในห้องโดยสารของรถ
กลิ่นอับอันอาจเกิดจากตู้แอร์นั้น ก่อนอื่นคุณต้องหมั่นสังเกตด้วยการดมก่อนว่ากลิ่นที่พัดออกจากตู้แอร์นั้นมีสภาพเป็นเช่นไร มีกลิ่นอับกลิ่นเหม็นหรือไม่ เพราะถ้าตู้แอร์สะอาดลมเย็นที่พัดออกมานั้นจะต้องไม่มีกลิ่นใดๆ แทรกอยู่ แต่ถ้าดมแล้วมีกลิ่นก็แสดงว่ามีเชื้อแบคทีเรียสะสมอยู่ในตู้แอร์ ต้องจัดการแก้ไขด้วยการนำรถไปร้านแอร์ให้เขาถอดเอาตู้แอร์ออกมาเพื่อทำความสะอาดคอยล์เย็นให้สะอาด
ส่วนกลิ่นอับจากการสูบบุหรี่แก้ไขยากสักหน่อย เพราะกลิ่นจะไปดูดจับติดกับพวกคอนโซล แผงประดับภายใน รวมทั้งตัวเบาะ ก่อนอื่นต้องเลิกสูบบุหรี่หรือห้ามคนที่มาโดยสารรถคุณไม่ให้สูบบุหรี่โดยเด็ดขาด แล้วจัดการทำความสะอาดชิ้นส่วนประดับต่างๆ ภายในตัวรถด้วยน้ำยาด่างอ่อนๆ จำพวกสบู่เหลวผสมน้ำ เช็ดล้างหลายๆ ครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีกลิ่นจับติดอยู่ แล้วเปิดประตูทิ้งรถตากแดดไว้ เพื่อไล่กลิ่นอับต่างๆ ให้ออกจากรถไปให้หมด
ถ้ากลิ่นอับเกิดจากกลิ่นอาหารหรือเครื่องดี่มที่นำมากินหรือดื่มในรถ รวมทั้งเศษขนมและอาหารที่ตกค้างอยู่ที่พื้นรถก็ต้องเก็บออกให้หมด ส่วนกลิ่นของอาหารหรือเครื่องดื่มก็แก้ไขได้ด้วยการจอดรถเปิดประตูตากแดดไว้ กลิ่นอับก็จะหมดไป
ส่วนกลิ่นอับที่เกิดจากพรมที่เปียกน้ำอับชื้น งานนี้ต้องเหนื่อยมากเป็นพิเศษสักหน่อย ต้องมีการถอดเบาะออกแล้วจัดการรื้อพรมในตัวรถทั้งหมดออกมาล้างทำความสะอาดและตากแดดให้แห้ง ก่อนที่จะใส่กลับเข้าไปในตัวรถ พรมที่ปล่อยให้เปียกชื้นนานๆ นอกจากจะเริ่มมีกลิ่นอับแล้ว หากปล่อยไปนานๆ จะกลายเป็นกลิ่นเน่าเหม็นได้ นอกจากจะถอดพรมมาทำความสะอาดแล้ว ต้องตรวจเชคหาจุดหรือสาเหตุที่ทำให้พรมเปียกด้วย ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่ไหลออกมาจากตู้แอร์ใต้คอนโซล หรือน้ำที่เข้ามาจากใต้ท้องรถจากจุดที่มีปลั๊กอุดอยู่ แต่ปลั๊กเกิดหลุดหายไป ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องจัดการหาปลั๊กมาอุดใหม่ให้เป็นที่เรียบร้อย
ประการสุดท้าย กลิ่นอับอันเกิดจากกลิ่นจากภายนอกรถโชยเข้ามาในตัวรถ กลิ่นจากภายนอกรถจะเข้ามาในห้องโดยสารได้จากทางท่อดักลมผ่านทางช่องแอร์จากทางหน้ารถ ถ้าเป็นจุดนี้ต้องตรวจดูว่าลิ้นดักลมเปิด/ปิดสนิทดีหรือไม่ ถ้าปิดไม่สนิทก็มีโอกาสที่กลิ่นจากนอกรถเข้ามาในตัวรถได้ จากนั้นก็มาตรวจเชคที่กระจกหน้าต่างดูว่าปิดสนิทดีหรือไม่ ถ้าปิดไม่สนิทกลิ่นก็เข้ามาได้ ให้ตรวจสอบดูว่ารางกระจกฝืดจนทำให้กระจกขึ้น/ลงไม่สุดหรือไม่ ถ้าใช่ก็จัดการทำความสะอาดและหล่อลื่นรางกระจกให้เป็นที่เรียบร้อย และจุดสุดท้ายคือ ลิ้นไล่ลมลดแรงอัดในห้องโดยสาร ลิ้นนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ผนังกระบะด้านหลังห้องแคบ ลิ้นนี้จะเป็นแผ่นยางบางๆ คั่นปิดตะแกรงอยู่ ถ้าลิ้นยางที่ค้างหรือปิดไม่สนิทก็มีโอกาสที่กลิ่นจากภายนอกรถเล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารจนก่อให้เกิดกลิ่นอับได้ ลองหาสาเหตุให้เจอจะได้แก้ปัญหาได้ตรงจุด
เรื่องโดย : โนว์ฮาว จูเนียร์
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/13206