พิเศษ
ฉลองปีที่ 14 ของนิตยสาร 4 WHEELS เราจัดทำคอลัมน์ "พิเศษ" รวบรวมข้อมูลเพื่อเอกซ์เรย์ตลาดรถ ที่กำลังฮอทสุดๆ โดยจัดหมวดหมู่รถต่างๆ ถึง 5 ประเภท ไปดูกันว่า คันไหนเด่น คันดัง เผื่อจะถูกใจคุณผู้อ่านสักคัน !
ฉลองปีที่ 14 ของนิตยสาร 4 WHEELS เราจัดทำคอลัมน์ "พิเศษ" รวบรวมข้อมูลเพื่อเอกซ์เรย์ตลาดรถ ที่กำลังฮอทสุดๆ โดยจัดหมวดหมู่รถต่างๆ ถึง 5 ประเภท ไปดูกันว่า คันไหนเด่น คันดัง เผื่อจะถูกใจคุณผู้อ่านสักคัน !
พิคอัพ 4x2
ตลาดนี้มาแรง แซงทุกเซกเมนท์
พูดถึงตลาดรถพิคอัพ 4x2 ต้องยอมรับว่า ตลาดนี้มีดาวรุ่งพุ่งแรง ขยับขึ้นยืนซดหมัดกันดุเดือด ไม่ว่าจะเป็นค่าย อีซูซุ เจ้าตลาดที่ยืนครองบัลลังก์แชมพ์ติดต่อกันมาหลายสิบปี หรือค่าย โตโยตา ที่พลิกทุกกลยุทธ์มาดวล อีกทั้งยังมีทีเด็ดจากค่ายอื่นๆ ที่ร่วมสังเวียนอีก ทั้งค่าย นิสสัน ที่ใจป้ำเปิดตัว ฟรอนเทียร์ 150 แรงม้า ค่าย ฟอร์ด ที่เดินเกมปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และเป็นรายแรกที่ดันพิคอัพ แคบเปิดได้สารพัดประโยชน์ออกมาพลิกประวัติศาสตร์วงการรถพิคอัพ เป็นที่ฮือฮา และสร้างยอดขายได้ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับค่าย มาซดา ที่เดินเกมตาม ฟอร์ด ติดๆ และเด่นที่แคบเปิดได้เช่นกัน ส่วนค่าย มิตซูบิชิ ก็สร้างสีสันการตลาดด้วย พิคอัพ วีจี เทอร์โบ และน้องใหม่ล่าสุด ค่าย เชฟโรเลต์ ที่ดัน โคโลราโด นักชกพันธุ์แกร่ง ออกมายืนชกอย่างสนุก
สำหรับคันเด่น คันดัง ในแวดวงพิคอัพ 4x2 เราขอเสนอคู่แฝด ที่มีดีกรีร้อนแรงทั้งคู่
อีซูซุ ดี-แมกซ์ I-TEQ 2.5 ซูเพอร์คอมมอนเรล ดีดีไอ และเชฟโรเลต์ โคโลราโด 2.5 ทีดี คอมมอนเรล
ภายนอก
ดูดี สวยคนละแบบ
หน้าตาภายนอกของทั้งคู่ มีดีคนละแบบ อีซูซุ ดี-แมกซ์ หน้าตาหล่อ พิมพ์นิยมของคนไทย ไฟหน้าดวงใหญ่ รับกับกันชนหน้าขนาดใหญ่ พร้อมไฟตัดหมอก เส้นสายรอบคันดูลงตัว
ด้านข้างมีโป่งในตัวที่รับกับขนาดยางที่ติดตั้งมาจากโรงงาน จุดเด่นอยู่ที่กระจังหน้าออกแบบลวดลายซี่แนวนอนขนาดใหญ่ ดูหรูหรา ส่วน เชฟโรเลต์ โคโลราโด มีดีไซจ์นที่ร้อนแรง ดุดันสไตล์พิคอัพคาวบอย และคมเข้ม ลงตัวด้วยชุดไฟหน้าแบบ 2 ชั้น พร้อมสัญลักษณ์โบว์ไทสีทองกลางกระจังหน้า พร้อมกับมีตะแกรงสีดำรูปตัวยูล้อมรอบ ส่วนด้านล่างของกันชนเน้นสีดำ ช่วยให้ดุดัน และดูแกร่ง ด้านข้างรถออกแบบให้มีความแตกต่างจาก อีซูซุ อย่างเห็นได้ชัด ด้วยไฟท้ายรูปเลข 8 สีขาวแดง คิ้วโป่งข้างที่คมเข้ม เน้นเส้นสายที่ดูเข้มแข็ง แต่ฝากระบะท้าย
ยังดูละม้ายคล้าย อีซูซุ
ภายใน
เน้นอุปกรณ์เพียบ
การตกแต่งภายในห้องโดยสาร ทั้งคู่ต่างเน้นความเงียบของห้องโดยสาร บรรยากาศโดยรวมของแผงคอนโซลจะคล้ายกัน ทั้งพวงมาลัยทรงอวบ ลายสี่ก้าน หน้าปัดที่เน้นการใช้สีโทนเมทัลลิค มาเสริมมาดเข้ม อุปกรณ์การใช้งานต่างๆ หากวัดกันตรงๆ จะสูสี และใกล้เคียงกันมาก
เครื่องยนต์
หัวใจสะอาด และประหยัดจริง
เครื่องยนต์ของต่างฝ่ายต่างมีดี ที่การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าคุณนำมาลองวิ่งใช้งานจริงๆ ในสภาพถนนที่หลากหลาย ผมเชื่อว่า อัตราการสิ้นเปลืองประมาณ 15-16 กม./ลิตร
น่าจะเป็นตัวเลขที่ทำได้แบบไม่ยากเย็น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้งานให้ได้ตัวเลขขนาด 20 กม./ลิตร และเชื่อว่าเครื่องยนต์รหัส 4JJ1-TC และ 4JK1-TC ทั้งความจุ 2.5 และ 3.0 ลิตร เป็นเครื่องดีเซล คอมมอนเรล ที่มีเรี่ยวแรงดีทั้งตีนต้น และปลาย ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 3,600 รตน. แรงบิดสูงสุด 29 กก.-ม. ที่ 1,800-2,200 รตน.
ระบบรองรับ
เลือกได้ตามใจชอบ
ไม่ว่าคุณจะชอบ อีซูซุ ที่ใช้ช่วงล่างฟเลกซ์-พลัส ซึ่งออกแบบให้นุ่มนวล นั่งสบายและรองรับการบรรทุกของใช้งานหนักได้ หรือจะเป็นระบบ Z71 ซัสเปนชัน ของ เชฟโรเลต์ ที่เน้นการใช้งานที่นุ่มนวล นั่งสบายเช่นกัน เอาเป็นว่า ทั้งสองยี่ห้อมีของดีที่น่าใช้ทั้งคู่
สรุป เรื่องราคาถูกแพงแตกต่างกันไม่มาก เรื่องอะไหล่ ศูนย์บริการ บริการหลังการขาย หรือการดูแลรักษาเองได้บ้างนั้น คุณยังอุ่นใจได้ ถือว่าสูสี และน่าดูครับ แต่ถ้าเทียบฟอร์มราคาขายต่อ ตีให้ตายต่อหน้าต่อตา อีซูซุ มีดีกรีเหนือกว่าคู่แข่งทั้งตลาดครับ !
พิคอัพ 4x4
โตโยตา ปะทะอีซูซุ
แน่นอนว่า ตลาดรถพิคอัพ 4x2 อีซูซุ มีสัดส่วนการตลาดมากที่สุด แต่ตลาดรถพิคอัพ 4x4 กลับเป็นทีของค่าย โตโยตา มวยคู่นี้ชกกันสนุก พลอยทำให้นักมวยค่ายอื่นๆ ทำตัวเลขลำบาก เพราะผลิตภัณฑ์ของทั้งคู่ ลื่นไหลออกมาจากโรงงานอย่างต่อเนื่อง
ถึงมวยคู่เอกจะมีดีกรีร้อนแรง แต่มวยคู่อื่นๆ ก็ชกสนุกสมน้ำสมเนื้อเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ฟอร์ด มาซดา ที่เคยเดินเกมรุกบุกเบิกตลาดส่วนนี้ ด้วยรถพิคอัพ 4 ประตู เป็นเจ้าแรก จึงเกิดอานิสงส์ให้ค่ายอื่นทำตาม เร็วๆ นี้ มิตซูบิชิ จะมีพิคอัพรุ่นใหม่ ที่หน้าตา และสัดส่วนใหญ่โต จะมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ คอมมอนเรล ความจุ 3.2 ลิตร ซึ่งจะกลายเป็นพิคอัพรุ่นแรกที่เบ่งกล้ามขึ้นไปสุดๆ เต็มพิกัดระดับภาษีใหม่
คู่เด่นคู่ดังของรถกลุ่มนี้ ได้แก่ โตโยตา เจ้าตลาดรถพิคอัพ 4x4 ดับเบิลแคบ และอีซูซุ ดี-แมกซ์ แคบโฟร์ ทั้งคู่เป็นมวยที่ชกสนุก ผลัดกันออกอาวุธหนักเบา โดย อีซูซุ เป็นฝ่ายเริ่มก่อน และโตโยตา ก็เปิดอภิมหาโพรเจคท์ IMV ดัน ไฮลักซ์ วีโก ออกมาสร้างกระแสได้อย่างน่ากลัว
ภายนอก
เน้นขนาดที่ใหญ่โต
จะว่าไปแล้ว รถพิคอัพในบ้านเรา ปัจจุบันมีแนวโน้มตัวรถจะใหญ่โต และเครื่องแรง เป็นหลัก น้อยรายที่จะยึดติดกับขนาดตัวเดิมๆ
อีซูซุ เปิด ดี-แมกซ์ โรเดโอ แคบโฟร์ ด้วยหน้าตาที่หล่อเข้ม และมีขนาดตัวที่ใหญ่จนสะดุดใจสาว แต่ยังไม่ทันไร โตโยตา เดินเกมดัน ไฮลักซ์ วีโก มาดวล ด้วยหน้าตาที่หล่อเข้มไม่แพ้กัน แถมยังมีขนาดตัวถังที่ใหญ่ และสูงกว่า ถ้าเทียบหน้าตา วีโก ดูดี อาจจะหรูกว่า แต่ อีซูซุ ได้ดีไซจ์นเฉพาะที่แฟนๆ ยังชื่นชอบอยู่
ภายใน
หรูหรา และดูดี
ภายในห้องโดยสาร ไฮลักซ์ วีโก ได้เปรียบ ทั้งขนาดห้องโดยสาร ที่กว้างขวาง นั่งสบาย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพียบ แผงหน้าปัดออกแบบใหม่ พร้อมมาตรวัดทริพเพิล มิเตอร์ เครื่องเสียง โดยรวมคล้ายของ เลกซัส รถเอสยูวีหรูของ โตโยตา
ส่วน อีซูซุ ภายในห้องโดยสาร การออกแบบเน้นการใช้สอย มีการใช้สีเงินเมทัลลิคมาช่วยเน้นความทันสมัย เรือนไมล์และมาตรวัดทรงกลม คอนโซลหน้า แผงข้าง และอุปกรณ์ต่างๆ จัดวางอย่างเหมาะสม พวงมาลัยแบบสี่ก้าน เครื่องปรับอากาศ แบบกระจายความเย็นทั่วถึง พร้อมระบบเครื่องเสียงฟูลล์ลอจิค และมีช่องเก็บของหลายจุด
เครื่องยนต์
ทั้งแรง และประหยัด
เครื่องยนต์ของ ไฮลักซ์ วีโก เป็นเครื่องรหัส 1KD-FTV ดีเซลเทอร์โบ อินเตอร์คูเลอร์ 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว ความจุ 3.0 ลิตร จ่ายน้ำมันด้วยระบบคอมมอนเรล ควบคุมการทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ อีซียู 16 บิท ส่วนเทอร์โบเป็นแบบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,400 รตน. แรงบิดสูงสุด 34.9 กก.-ม. ที่ 1,400-3,200 รตน. ส่วน อีซูซุ วางเครื่องยนต์รหัส 4JJ1-TC ดีเซลเทอร์โบ 4 สูบเรียง เทอร์โบ อินเตอร์คูเลอร์ ความจุ 3.0 ลิตร ซูเพอร์คอมมอนเรล ให้กำลังสูงสุด 146 แรงม้า ที่ 3,600 รตน. แรงบิดสูงสุด 30 กก.-ม. ที่ 1,400-3,400 รตน. ถือว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกันทั้งคู่
ระบบรองรับ
นุ่มนวล แกร่ง และมั่นใจได้
ช่วงล่างของ โตโยตา มีการออกแบบใหม่ตามแนวคิด ทอพ พแลทฟอร์ม ที่เน้นความแข็งแกร่ง โครงสร้างเฟรมเหล็กขึ้นรูป 2 ชั้น ด้านหน้าอิสระ ปีกนกคู่ และคอยล์สปริง ส่วนด้านหลังแหนบแผ่นซ้อนที่ปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้น สำหรับ อีซูซุ ใช้ระบบรองรับแบบฟเลกซ์-พลัส ด้านหน้าอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมทอร์ชันบาร์ ด้านหลังแบบแหนบแผ่นซ้อน ทำงานร่วมกับชอคอับแกสทั้ง 4 ล้อ ให้ทั้งความนุ่มนวล และแข็งแกร่งในยามลุย หรือบรรทุกของ
สรุป โตโยตา วีโก ราคารุ่นทอพสุด 861,000 บาท ส่วน อีซูซุ ดี-แมกซ์ แคบโฟร์ แอลเอส ราคา 816,000 บาท ความน่าใช้ของทั้งคู่มีข้อดีที่ต่างกัน เรื่องศูนย์บริการ อะไหล่ การซ่อมแซม อุปกรณ์ตกแต่ง หายห่วงเพราะทั้งคู่เป็นพิคอัพยอดนิยมในหัวใจคนไทย
เอสยูวี
ดาวที่เคยรุ่ง !
ไม่อยากเชื่อว่า กระแสความร้อนแรงของรถเอสยูวี ที่เคยคาดการณ์กันว่า จะเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงจนฉุดไม่อยู่นั้น จะกลายสภาพเป็นดาวที่ร่วงเร็วเกินคาด ! ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา รถเอสยูวีค้าขายได้น้อยลง ด้วยสาเหตุของภาษีที่ปรับตัวสูงขึ้น ราคาน้ำมันที่แพงจนเกินห้ามใจ ประกอบกับการซ่อมบำรุงที่ต้องใช้เงินมากกว่าปกติ ทำให้รถเอสยูวี กลายเป็นไม้ประดับวงการรถไปแล้ว
บนเส้นทางที่ดูมืดมน ยังพอมีความหวังร่ำไร ด้วยอานิสงส์ของค่ายรถต่างๆ ที่พยายามกัดฟันสู้ ทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ ค่าย ฟอร์ด ที่เปิดตัวทั้ง เอกซ์พลอเรอร์ และเอสเคพ ค่าย มาซดา เปิดตัว ทรีบิวท์ ค่าย นิสสัน ใจกล้าลุยตลาดกับเขาด้วยรุ่น เอกซ์-ทเรล ใหม่ ค่าย ฮอนดา มี ซีอาร์-วี เป็นตัวยืน และเป็นแชมพ์ตลาดรถกลุ่มนี้อยู่นาน ก่อนที่ ฟอร์ด เอสเคพ จะมาสอยร่วงไปพักใหญ่ ส่วนค่ายอื่นๆ เกีย พยายามทำการตลาดด้วยรุ่น โซเรนโต ค่าย มิตซูบิชิ มีรุ่น เอาท์แลนเดอร์ มาสร้างความฮือฮาอยู่พักหนึ่ง แลนด์ โรเวอร์ ที่ค้าขายกับรถเอสยูวีโดยตรง ก็เริ่มไปทำการตลาดระดับพรีเมียม เน้นลูกค้ากลุ่มบน ส่วน ซูซูกิ นั้น มี วีทารา และแกรนด์ วีทารา เป็นตัวบุก ตอนนี้ดูหงอยเหงาไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าค่าย จีพ ที่เป็นผู้จุดประกายรถเอสยูวี น่าเสียดายที่เลิกทำการตลาดในบ้านเราไปแล้ว
ดาวเด่นของรถเอสยูวี ในขณะนี้ต้องยกให้ นิสสัน เอกซ์-ทเรล และฮอนดา ซีอาร์-วี ซึ่งถูกนำมาเทียบฟอร์มบ่อยที่สุด ด้วยขนาดตัวถังที่ใกล้เคียงกัน เครื่องยนต์เบนซิน มีความจุใกล้กัน และทั้งคู่เป็นรถเอสยูวี ที่มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่สะดวกสบาย ดังนั้นเราจึงไม่รอช้าที่จะหยิบรถทั้งสองคันมาคุยให้ฟัง
ภายนอก
หน้าตาดูดีทั้งคู่
ถ้าคุณชอบเอสยูวี ที่ไม่จำเป็นต้องหล่อล่ำบึก สไตล์นักเลงโต กล้ามใหญ่ ดุดัน ผมว่ารถทั้งสองคันคือ คำตอบสุดท้ายของคุณ เพราะทั้งคู่มีหน้าตาที่ดูดี มีชาติตระกูล ไม่ส่อแววเถื่อน แต่ลุยได้ในบางโอกาสที่คันมือ คันเท้า
ค่าย ฮอนดา นั้น เพิ่งปรับปรุง ซีอาร์-วี มาสดๆ ซิงๆ ด้านหน้าคมเข้ม ด้วยกระจังหน้าใหม่ ที่มีตะแกรงโครเมียม พร้อมชุดไฟหน้าขนาดใหญ่ และใต้กันชนหน้าฝังไฟตัดหมอก กันชน กระจกมองข้าง คิ้วกันกระแทกด้านข้าง และฝาครอบยางอะไหล่ เป็นสีเดียวกับตัวรถ รวมถึงมือเปิดประตู และฝาท้าย ดูรวมๆ ซีอาร์-วี ใหม่ มีบุคลิกที่ดูกระฉับกระเฉง และปราดเปรียวขึ้น
ส่วน นิสสัน เอกซ์-ทเรล มีหน้าตาที่ไม่เน้นความบึกบึน แต่เน้นรูปทรงที่ปราดเปรียว คล่องแคล่ว ไฟหน้าดวงใหญ่ตามสไตล์รถทั่วไป รับกับกันชนหน้าขนาดใหญ่ ที่มีไฟตัดหมอกในตัว เส้นด้านข้าง และท้าย เน้นความโฉบเฉี่ยว ที่เด่นสุดของภายนอกคือ บังโคลนหน้าทั้งซ้าย และขวา ทำจากวัสดุโพลีเมอร์ ที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นตัวได้ เมื่อเกิดการกระแทกจะยุบ และคืนตัวได้เอง ไม่เหมือนบังโคลนที่ทำด้วยเหล็ก เวลาเกิดการชน จะเสียหายทันที แถมยังมีน้ำหนักเบาอีกด้วย
ภายใน
ประโยชน์ใช้สอย คนละแนว
ประโยชน์ใช้สอยจากภายในห้องโดยสาร ของ ซีอาร์-วี ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ยังคงรูปแบบเดิม แผงหน้าปัดใช้งานง่าย มีมาตรวัดเรืองแสงวงกลม 3 วง ตรงกลางของคอนโซลเป็นที่ตั้งของเครื่องเสียง และระบบแอร์ ถัดลงมามีช่องเก็บความเย็น สามารถแช่เครื่องดื่มได้ พื้นของห้องโดยสารเรียบ ไม่มีเพลากลางมาเกะกะ ทำให้กว้างขวาง และใช้งานสะดวกขึ้น ส่วนพื้นหลังที่ห้องเก็บสัมภาระ ยังคงมีโต๊ะพับซ่อนอยู่ สิ่งที่เปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด คือ สีสันภายในเป็นสีเบจทูโทนใหม่ ส่วนอุปกรณ์อื่น ยังมีให้ใช้งานครบ
สำหรับ เอกซ์-ทเรล มีการออกแบบที่แยบยล แผงหน้าปัดดูเรียบง่าย มีมุมมองที่ชัดเจน แต่แฝงไว้ด้วยช่องเก็บของหลายจุด ทั้งช่องแช่เย็นอเนกประสงค์ กล่องเก็บของฝั่งคนขับ หรือด้านบนฝั่งผู้โดยสาร มีช่องวางแก้วน้ำ พร้อมระบบรักษาความเย็นที่เชื่อมต่อจากระบบแอร์
เบาะนั่งสามารถปรับเปลี่ยนการใช้สอยได้เต็มที่ และหลายรูปแบบ และที่โดดเด่นคือ พื้นที่จัดเก็บสัมภาระต่างๆ ที่จัดวางได้อย่างลงตัว มีจุดลอคสิ่งของถึง 13 จุด พร้อมตะขอยึด 6 ตัว รวมถึงเบาะนั่งหลังสามารถปรับเอนเพิ่มความสบายในการเดินทางได้
เครื่องยนต์
ต่างกันเล็กน้อย แต่สนุกกับการขับขี่คนละแบบ
ความจุของเครื่องยนต์ จะแตกต่างกันแค่ 100 ซีซี โดยที่ เอกซ์-ทเรล มีขนาดเครื่องยนต์ใหญ่กว่า ด้วยความจุ 2.5 ลิตร เป็นเครื่องรหัส QR25DE 4 สูบเรียง 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน CVTC ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 25.0 กก.-ม. ที่ 4,000 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อมระบบชิฟท์ลอค และปุ่มโอเวอร์ดไรฟ ในการเร่งแซง ส่วนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เป็นแบบออลล์โหมด ที่บิดปุ่มปรับเลือกตามสภาพเส้นทางได้
ส่วนเครื่องยนต์ใหม่ของ ซีอาร์-วี เป็นเครื่อง 2.4 I-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 22.4 กก.-ม. ที่ 3,600 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบเรียลไทม์
ระบบรองรับ
นุ่มนวล นั่งสบาย
เอกซ์-ทเรล ใช้ระบบรองรับด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท ชอคอับ คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ช่วยให้นุ่มนวล และนั่งสบายบนทุกเส้นทาง ส่วน ซีอาร์-วี ใช้ระบบรองรับด้านหน้าแบบโทคอนทโรลลิงค์สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบอิสระ ปีกนกคู่ และเหล็กกันโคลง จะเห็นว่าทั้งสองคัน มีระบบรองรับที่เน้นการทำงานในทุกสภาพเส้นทาง
สรุป รักพี่เสียดายน้องจริงๆ ทั้งหน้าตา ดีไซจ์น การใช้สอยต่างๆ ในห้องโดยสาร รวมถึงความคุ้มค่าของตัวรถ ตลอดจนศูนย์บริการ และอะไหล่ ฟันธงว่าน่าใช้ทั้งคู่
เอมพีวี
รถของแฟมิลีแมน ตัวจริง
สำหรับคนรักครอบครัวตัวจริง รถเอมพีวี คือ สวรรค์ดีๆ ของเจ้าตัวน้อย ที่ชอบซุกซนนั่งเล่น นอนเล่น ในรถที่มีความกว้างขวาง ประโยชน์ใช้สอยครบครัน
รถลักษณะนี้ เป็นดาวที่เจิดจรัสอยู่หลายปี ตั้งแต่ต้นมิลเลนเนียมใหม่ เชฟโรเลต์ เปิดตัว ซาฟีรา รถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ถือเป็นการจุดประกายให้คนไทยได้รู้จักรถประเภทนี้ นอกเหนือจากรถตู้ ที่คุ้นเคย !
ความสดใหม่ของ ซาฟีรา ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นความดีความชอบที่บุกเบิกให้ค่ายรถอื่นๆ นำเข้ามาขายกันมากขึ้น เช่น เซอัต อลัมบรา/โฟล์คสวาเกน ตูราน/ฮอนดา ออดิสซีย์, สตรีม และหลังๆ ก็มี โตโยตา วิช, อินโนวา, อวันซา/มิตซูบิชิ สเปศแวกอน/มาซดา เอมพีวี/เกีย คาร์เรน, คาร์นิวัล/เปอโฌต์ 807 และ ซีตรอง เซ วิต (C8) รถเด่นรถดังของกลุ่มเอมพีวี ที่ถูกคู่มากที่สุด คือ เกีย คาร์นิวัล จีเอส กับมิตซูบิชิ สเปศแวกอน 2.4 จีที
ภายนอก
มีทั้งเรียบหรู และโฉบเฉี่ยว
หน้าตาของ เกีย คาร์นิวัล ดูเรียบหรู ออกแบบสไตล์รถอเมริกัน ที่ตัวถังค่อนข้างใหญ่ กันชนหน้า/หลังขนาดใหญ่ โคมไฟหน้าแบบมัลทิรีเฟลคเตอร์ รวมชุดไฟสูง/ต่ำ และไฟเลี้ยว/หรี่ ไว้ด้วยกัน ส่วนมิตซูบิชิ สเปศแวกอน จีที หน้าตาดูทันสมัย โฉบเฉี่ยว เส้นสายทั้งด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง ออกแบบได้เร้าใจ และสวยมาก ชุดไฟหน้าทรงรี แบบมัลทิรีเฟลคเตอร์ รวมสัญญาณไฟต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน
ภายใน
เน้นความกว้าง นั่งสบาย
เกีย คาร์นิวัล เป็นรถเอมพีวีที่มีขนาดตัวถังใหญ่กว่า สเปศแวกอน ดังนั้นเรื่องความสะดวกสบาย ห้องโดยสารค่อนข้างกว้างขวาง พื้นที่เหนือศีรษะโล่ง มีพื้นที่เก็บของเยอะ เบาะนั่งผู้ขับ
สามารถปรับระดับด้วยไฟฟ้า ถึง 8 ทิศทาง และที่เด่นสุดๆ คือ รูปแบบของห้องโดยสาร ที่ คาร์นิวัล มีให้เลือกถึง 4 แบบ อาทิ แบบจีเอส ที่เป็น 7 ที่นั่งมาตรฐาน แบบทีแอลซี เป็นแบบที่ทำขึ้นเพื่อดูแลผู้โดยสารที่สูงอายุ หรือผู้ที่ใช้รถเข็น แบบฟแลกชิพ ที่เน้นความสบายในการโดยสาร ด้วยการเปลี่ยนเบาะหลังเป็นเบาะเฟิร์สต์คลาสส์ และแบบสุดท้าย พแลทินัม ที่เน้นความโอ่งโถง หรูหรา และความเป็นส่วนตัว
ส่วน มิตซูบิชิ สเปศแวกอน ภายในห้องโดยสารออกแบบได้ลงตัว ด้วยดีไซจ์นที่ให้ความรู้สึกอิสระ กว้างขวาง สบาย แผงหน้าปัดโค้งมน ตรงกลางมีจอมอนิเตอร์ พร้อมเครื่องเล่นดีวีดี เอมพี 3 คันเกียร์อยู่ตรงกลาง ส่วนเบาะที่นั่งนั้น คุณสามารถพับ หรือเปลี่ยนรูปแบบการใช้สอยได้หลากหลาย สามารถเปลี่ยนรถ ให้กลายเป็นห้องนั่งเล่นแบบในบ้านขนาดย่อมๆ ได้เลย
เครื่องยนต์
พิกัดเท่ากัน แรงม้าสูสีกัน
เกีย วางเครื่องยนต์เบนซิน ความจุ 2.4 ลิตร แบบ วี 6 สูบเรียง 24 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 21.2 กก.-ม. ที่ 4,500 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ ให้แรงบิดต่อเนื่อง และราบลื่น ส่วน มิตซูบิชิ วางเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 165 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 22.1 กก.-ม. ที่ 4,000 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
ระบบรองรับ
นุ่มนวล และเบาแรง
เกีย ใช้ระบบรองรับด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังแบบทเรลิงอาร์ม พร้อมชอคอับแกส และเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ 4 จุด ส่วน มิตซูบิชิ ใช้ระบบรองรับด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบอิสระ เซมิ ทเรลิงอาร์ม คอยล์สปริง และเหล็กกันโคลง ให้ความรู้สึกนุ่มนวล เกาะถนน และควบคุมการขับขี่ง่ายทั้งสองแบบ
สรุป ทั้งสองคัน เป็นรถเอมพีวี ที่น่าเล่น เพราะมีความจุเครื่องยนต์ 2.4 ลิตรเท่ากัน กำลังสูงสุดใกล้เคียงกัน ต่างกันแค่ 2 แรงม้า ประโยชน์ใช้สอยแนวเดียวกัน ถ้าเทียบความหรูหราจะมีรายละเอียดที่ต่างกัน ตามความต้องการใช้งานของลูกค้า ถ้าเทียบราคา มิตซูบิชิ สปเศแวกอน จีที ราคา 1,650,000 บาท ส่วน เกีย คาร์นิวัล จีเอส ราคา 1,694,000 บาท สรุปว่า มิตซูบิชิ จะได้เปรียบตรงราคา และความสดใหม่ รักใคร ชอบใคร เลือกกันเองครับ...
พีพีวี
ดาวรุ่ง พุ่งแรง !
ปฏิเสธไม่ได้ว่า รถพิคอัพดัดแปลง หรือพีพีวี กำลังเป็น "ขนมเค้ก" ชิ้นใหม่ ที่บริษัทรถยนต์จ้องตาเป็นมัน ด้วยความที่ได้เปรียบด้านโครงสร้างภาษี ทำให้รถประเภทนี้ แจ้งเกิดไปแล้ว โดยเฉพาะกรณีศึกษาของ โตโยตา ฟอร์ทูเนอร์ กับอีซูซุ มิว-7 ที่โด่งดังไปทั่วกรุง
ซึ่งก่อนหน้านี้ ค่าย ฟอร์ด เปิดตัวรถรุ่น เอเวอเรสต์ ที่ถูกผลิตขึ้นมาลองเชิงตลาดเป็นเจ้าแรก
รถพีพีวี เป็นรถที่มีรูปร่าง และสัดส่วนคล้ายรถเอสยูวี เนื่องจากมีการนำโครงสร้างตัวถังของรถพิคอัพ มาออกแบบใหม่ และตัวเลขการจำหน่ายในแต่ละเดือนที่ผ่านมา จะปรากฏในหมวดเอสยูวี แต่เราอยากให้คุณผู้อ่านเห็นภาพที่ชัดเจนของรถแนวใหม่มากขึ้น จึงหยิบเรื่องนี้กลับมาคุยอีกครั้ง
ภายนอก
มาดหรู 2 สไตล์
หน้าตาของ ฟอร์ทูเนอร์ คือการนำ ไฮลักซ์ วีโก มาผสมผสานใหม่ เริ่มจากไฟคู่หน้า แบบมัลทิรีเฟลคเตอร์ เปลี่ยนแบบไปใช้ไฟแยกสูง/ต่ำ และไฟเลี้ยวทรงกลม ฝังอยู่ในโคมเดียวกัน กันชนหน้าขนาดใหญ่ แบบ 2 ช่อง พร้อมโลโกตรงกลาง ฝากระโปรงเจาะสกูพดักลม และเพิ่มความดุดัน ด้านท้ายลงตัว ด้วยแบบที่คล้าย เลกซัส ไฟท้ายแบบเลนส์ใส สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรคแอลอีดี ทำให้มีกลิ่นอายของรถเอสยูวีเต็มตัว
ส่วน อีซูซุ มิว-7 ด้านหน้าถอดแบบมาจาก ดี-แมกซ์ ไฟคู่หน้าขนาดใหญ่ ทรงเหลี่ยม เป็นแบบมัลทิรีเฟลคเตอร์ พร้อมไฟตัดหมอก กระจังหน้าโครเมียม พร้อมช่องระบายความร้อน 6 ช่อง ส่วนด้านท้ายรถ มีขนาดใหญ่ โค้งมน เส้นข้างท้ายรถดูแปลกตา โดยเฉพาะไฟท้ายที่ดูแปลกๆ
ภายใน
หรูหรา พอฟัดพอเหวี่ยง
ภายในของ ฟอร์ทูเนอร์ ดูหรูหรา ตกแต่งด้วยโทนสีครีม แผงหน้าปัด มีการใช้สีเงินเมทัลลิค มาช่วยเสริมมาดสปอร์ท เบาะนั่งหนังแท้ 7 ที่นั่ง ปรับและพับได้ มาตรวัดเรืองแสง กระจกไฟฟ้ารอบคัน มีจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน
ส่วน มิว-7 ภายในเน้นความสะดวกสบาย กว้างขวาง สไตล์รถครอบครัว แผงหน้าปัดแบบเดียวกับ ดี-แมกซ์ ตกแต่งด้วยกรอบสีเงินเมทัลลิค มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ เครื่องเสียง ไฟส่องสว่างในรถตามจุดต่างๆ ช่องแอร์บนเพดาน เบาะนั่งปรับและพับได้เช่นกัน
เครื่องยนต์
ทันสมัย และแรงทั้งคู่
ฟอร์ทูเนอร์ จะได้เปรียบตรงที่มีเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 2 แบบ ทั้งเบนซิน 2.7 ลิตร แรงม้าสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 5,200 รตน. แรงบิดสูงสุด 24.6 กก.-ม. ที่ 3,800 รตน. หรือจะเลือกเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ความจุ 3.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบแปรผัน และอินเตอร์คูเลอร์ ที่ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,400 รตน. แรงบิดสูงสุด 35.0 กก.-ม. ที่ 1,400-3,200 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ตลอดเวลาแบบใหม่ ที่กระจายกำลังอย่างต่อเนื่องตามความเหมาะสมของเส้นทาง
ส่วน มิว-7 ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซูเพอร์คอมมอนเรล เทอร์โบ อินเตอร์คูเลอร์ ที่ให้ทั้งกำลัง และความประหยัด โดยให้กำลังสูงสุด 146 แรงม้า ที่ 3,600 รตน. แรงบิดสูงสุด 30.0 กก.- ม. ที่ 1,400-3,200 รตน. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะเช่นกัน ส่วนระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แบบพาร์ทไทม์ เลือกโหมดการขับขี่เอง ด้วยระบบไฟฟ้า
ระบบรองรับ
2 คัน 2 คม
มิว-7 ใช้ระบบรองรับด้านหน้าแบบอิสระ ปีกนกคู่ พร้อมทอร์ชันบาร์ และชอคอับแกส ด้านหลังแบบแหนบ และชอคอับแกส ที่ให้ทั้งความนุ่มนวล และแข็งแกร่งในเส้นทางวิบาก ส่วน ฟอร์ทูเนอร์ ด้านหน้าใช้ระบบรองรับแบบอิสระ ปีกนกคู่ คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบคานแข็ง พร้อมแขนยึด 4 จุด และคอยล์สปริง เน้นความแข็งแรง และนุ่มนวล
สรุป ต่างฝ่ายต่างมีดีคนละแบบ อีซูซุ มีชื่อเสียงด้านการทำรถที่เน้นความสะดวกสบาย และประหยัด ส่วน โตโยตา เน้นความทันสมัย โดยเฉพาะช่วงล่าง ใครที่ชอบรถครอบครัวขนาดใหญ่ เน้นประหยัด ควรมองที่ มิว-7 แต่ถ้าอยากได้ความทันสมัย หน้าตาโฉบเฉี่ยว เครื่องยนต์กำลังแรง หันไปดู ฟอร์ทูเนอร์
เรื่องโดย : แอลเอนนิวส์
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/13147