กราไฟท์ (GRAPHYTE) รถเอสยูวี ต้นแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ พร้อมขุมพลังแบบไฮบริด จากค่าย จีเอมซี ที่สามารถลดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ถึง 25 % จีเอมซี กราไฟท์ เป็นผลงานการออกแบบ และสร้างสรรค์จากสถาบัน จีเอม แอดวานศ์ สตูดิโอ (GM ADVANCED STUDIO) ในเมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษ

กราไฟท์ (GRAPHYTE) รถเอสยูวี ต้นแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ พร้อมขุมพลังแบบไฮบริด จากค่าย จีเอมซี ที่สามารถลดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ถึง 25 % จีเอมซี กราไฟท์ เป็นผลงานการออกแบบ และสร้างสรรค์จากสถาบัน จีเอม แอดวานศ์ สตูดิโอ (GM ADVANCED STUDIO) ในเมืองโคเวนทรี ประเทศอังกฤษ กราไฟท์ เป็นรถเอสยูวีขนาดกลางที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย ด้วยระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด เอเอชเอส 2 (AHS2: ADVANCED HYBRID SYSTEM 2) ร่วมกับเครื่องยนต์เบนซิน วี 8 สูบ รหัสวอร์เทค ความจุ 5.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 300 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 44.9 กก.-ม. พร้อมเทคโนโลยี ดีโอดี (DOD: DISPLACEMENT ON DEMAND) ให้พลังขับเคลื่อนสูง และมีการจ่ายพลังขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในทุกสภาวะการขับขี่ ระบบนี้จะถูกนำไปใช้กับรถรุ่นอื่นๆ ของค่ายภายในปี 2007 คือ จีเอมซี ยูคอน (GMC YUKON) และเชฟวี ตาโฮ (CHEVY TAHOE) รถเอสยูวีขนาดใหญ่ของค่าย เอเอชเอส 2 เป็นระบบไฮบริด ระบบแรกที่ใช้ 2 โหมดการขับเคลื่อนในคันเดียวกัน โหมดแรกจะเป็นการผสมผสานการขับเคลื่อนเหมือนกับเครื่องอีเลคทรอนิคส์ ดีเซลไฮบริด ที่จีเอม ทดลองใช้กับรถประจำทางในเมืองเป็นรายแรก โดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยขับเคลื่อนกับเครื่องยนต์ ในระดับความเร็วต่ำ และการจราจรแบบเคลื่อนตัว และหยุด ส่วนอีกโหมดหนึ่งคือ ดีโอดี ช่วยลดความสิ้นเปลือง ด้วยการตัดการทำงานในบางสูบลง ในขณะที่ใช้ความเร็วสม่ำเสมอ เช่น ขณะเดินทางบนไฮเวย์ และจะทำงานครบทุกสูบ เมื่อต้องใช้กำลังสูงสุด เช่น ในการลากทเรเลอร์ หรือวิ่งขึ้นที่สูงชัน ระบบเอเอชเอส 2 เป็นการพัฒนาระดับที่สามของจีเอม โดยมุ่งลดการใช้พลังงาน ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม และออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด สามารถติดตั้งเข้ากับรถได้ทุกขนาด โดยใช้พื้นที่เท่ากับระบบเกียร์อัตโนมัติ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ได้รับพลังจากแบทเตอรี จีเอม ได้เลือกทดลองระบบไฮบริดกับรถที่มีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูง อย่างเช่น รถโดยสารประจำทาง และรถเอสยูวี ซึ่งนับว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมากโดยเฉพาะกับ กราไฟท์ โครงการต่อไปข้างหน้า จีเอม จะนำระบบนี้ไปใช้กับรถบรรทุก และเอสยูวีรุ่นอื่นๆ ต่อไป ระบบเอเอชเอส 2 ที่ใช้กับ กราไฟท์ ได้รับพลังไฟฟ้าจากแบทเตอรี นิคเกิลเมธัลไฮไดร แรงดัน 300 โวลท์ ที่ซุกไว้ใต้เบาะหลัง ภายใต้ฝากระโปรงได้ติดตั้งระบบ HVAC ทำหน้าที่ผ่อนแรงพวงมาลัย และระบบเบรค ส่วนระบบขับเคลื่อนซึ่งเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว และชุดเฟืองเกียร์ที่ติดตั้งอยู่ในห้องเกียร์อัตโนมัติ ไฮดราเมติค 4L60-E แชสซีส์ของ กราไฟท์ เป็นแบบเฟรมขั้นบันได (LADDER FRAME) ที่มีชื่อเสียงด้านความแข็งแกร่ง และทนทาน ระบบรองรับหน้าแบบสตรัท ส่วนด้านหลังแบบ 5 ลิงค์ ระดับความสูงของ กราไฟท์ สามารถปรับสูง/ต่ำได้ถึง 120 มม. โดยลดลงต่ำสุดเพื่อลดแรงต้านทางอากาศพลศาสตร์ เพื่อให้มีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำสุด และยกสูงขึ้นในเส้นทางขรุขระ ระบบเบรคจานทั้งสี่ล้อ พร้อมช่องระบายความร้อน และเจาะรู ทำงานร่วมกับระบบเอบีเอส 4 ทิศทาง โดยมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 15 นิ้ว ในด้านหน้า และ14.74 นิ้ว ในด้านหลัง ล้อที่ใช้เป็นล้อแมกนีเซียมขนาด 22 นิ้ว และยางออลล์ เทอร์เรน ยี่ห้อกูดเยียร์ กราไฟท์ ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของจีเอมซี ด้วยความบึกบึนแบบรถทรัค แต่สง่างาม โอเวอร์แฮงสั้น ล้อและกระจังหน้าขนาดใหญ่ ตัวถังได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงระบบอากาศพลศาสตร์เป็นหลัก ตั้งแต่โคมไฟหน้าจนถึงหลังคา แม้แต่ใต้ท้องก็ติดตั้งแผ่นครอบชิ้นส่วนด้านล่างเพื่อลดแรงฉุด โคมไฟหน้าเป็นโคมซีนอน และชุดไฟสัญญาณหลังเป็นหลอดแอลอีดี โคมไฟหน้าสามารถหันไปทิศทางเดียวกับล้อหน้า ประตูท้ายแยกออกจากกัน ทำให้เก็บสัมภาระสะดวกมากขึ้น ภายในของ กราไฟท์ ให้ความสนใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่ตำแหน่งการจัดท่านั่งของคนขับ การจัดสภาพภายในห้องโดยสารที่ต้องการสร้างความรู้สึกที่โปร่งโล่งสบาย ด้วยการติดตั้งกระจกสกายไลท์ ขนาดใหญ่ ภายในหุ้มหนังสีเทาอ่อน ประดับด้วยแผงไม้ และอลูมิเนียม มีเนื้อที่เลกรูมที่กว้างขวาง เบาะหลังสามารถเลื่อนหน้า/หลัง เพิ่มพื้นที่เลกรูมให้มากขึ้น พนักเบาะหลังแยกพับได้ถึง 3 ส่วนโดยไม่เกี่ยวข้องกัน และสามารถพับเบาะขึ้น เพื่อเพิ่มเนื้อที่บรรทุกได้ ในการควบคุมการขับขี่นั้น เปลี่ยนคันโยกแบบเก่ามาเป็นปุ่มควบคุมแทน โดยเลือก P-N-D จอแอลซีดี บนคอนโซลทำหน้าที่รายงานการทำงานของระบบไฮบริด นอกจากนั้นยังมีมาตรวัดความเร็ว และวัดรอบแบบเก่า จอแอลซีดี ยังรายงานระบบนำทางด้วยดาวเทียม รวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ และยังมีจอสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง โดยพับเก็บอยู่ในคอนโซลหลังคา จีเอม นับว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรก ที่คำนึงถึงความปลอดภัยในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันก่อนชน ในระหว่างชน และหลังการชน ด้วยการติดตั้งระบบเชื่อมต่อดาวเทียม ออนสตาร์ ติดตั้งระบบ AUTOMATIC CRASH NOTIFICATION ทำงานตลอด 24 ชม. ในภาคพื้นทวีปอเมริกาเหนือ และแคนาดา เมื่อพบว่ามีสัญญาณการทำงานของแอร์แบก สัญญาณจะถูกส่งไปยังหน่วยช่วยเหลือของออนสตาร์ หรือติดต่อหน่วยกู้ภัย นับว่าประสบผลสำเร็จไม่น้อย ที่มีเหตุเกิดขึ้นโดยผู้ประสบเหตุไม่สามารถติดต่อศูนย์ หรือพูดได้ นอกจากนั้น ยังมีระบบเอเอซีเอน ซึ่งให้ข้อมูลการชน หรือกรณีรถพลิกคว่ำ ไม่ว่าจะเป็นทิศทางการชน ระบุจำนวน และตำแหน่งที่แอร์แบกทำงาน ความรุนแรงของการชน เพื่อให้หน่วยช่วยเหลือได้ประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้อง นับเป็นความก้าวหน้าอีกระดับหนึ่งของวงการรถยนต์ ที่นำระบบไฮบริด มาใช้ในรูปแบบที่มีความเป็นไปได้มากขึ้น รวมไปถึงระบบความปลอดภัยที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างสหรัฐอเมริกา กราไฟท์ คือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ สำหรับสถานการณ์น้ำมันที่เป็นอยู่ในขณะนี้ !