ทั่วไป
ขณะนี้มีการผลิตเวอร์ชัน "STI" ที่ผลิตโดยเอสทีไอ เข้าไปในตระกูล ฟอเรสเตอร์ ผู้บุกเบิกตลาดครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี มันมีรูปทรงภายนอกที่ดุดัน ช่วงล่างที่แข็งแกร่ง และเครื่องยนต์ที่ปรับแต่งใหม่ เรียกว่ามีการเพิ่มพลังต่างๆ ให้ ฟอเรสเตอร์ และเป็นรถที่โดดเด่นเรื่องการทรงตัวที่เหนือความคาดหมาย
ขณะนี้มีการผลิตเวอร์ชัน "STI" ที่ผลิตโดยเอสทีไอ เข้าไปในตระกูล ฟอเรสเตอร์ ผู้บุกเบิกตลาดครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี มันมีรูปทรงภายนอกที่ดุดัน ช่วงล่างที่แข็งแกร่ง และเครื่องยนต์ที่ปรับแต่งใหม่ เรียกว่ามีการเพิ่มพลังต่างๆ ให้ ฟอเรสเตอร์ และเป็นรถที่โดดเด่นเรื่องการทรงตัวที่เหนือความคาดหมาย
สไตล์ใหม่
ได้แรงดลใจมาจาก WRC
บางคนแค่เห็นโลโกเอสทีไอ สีแดง ก็ตื่นเต้นแล้ว คนพวกนี้คงเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่คลั่งไคล้ใน ซูบารุ ส่วนชื่อ "STI" นั้น เผลอๆ อาจเป็นที่รู้จักในยุโรป ซึ่งนิยมใน WRC มากกว่าในญี่ปุ่นก็ได้ ทั้งนี้ "STI" เป็นตัวย่อของ SUBARU TECHNICAL INTERNATIONAL หมายถึง โรงงานเสริมแต่งรถของ ซูบารุ โดยตรง แต่เอสทีไอ ไม่ได้ผลิตแค่อุปกรณ์ตกแต่งเท่านั้น ยังเข้าร่วมกิจกรรมมอเตอร์สปอร์ท ตลอดจนรับงานพัฒนาเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนสำหรับรถแข่งจาก ซูบารุ เพียงเจ้าเดียว !
ก่อนที่เอสทีไอ เวอร์ชัน จะออกสู่ตลาด มีการรวบรวมชิ้นส่วนที่เอสทีไอ ผลิตขึ้นสำหรับ ฟอเรสเตอร์ ไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่เฉพาะอะไหล่สำหรับตกแต่งภายนอก เช่น ฮาล์ฟ สปอยเลอร์ ที่คลุมตั้งแต่ส่วนบนของกันชน อะไหล่แท้อื่นๆ และล้ออลูมิเนียมสำหรับรถรุ่นนี้ เป็นต้น รวมถึงชิ้นส่วนสำหรับช่วงล่าง เช่น ชอคอับ และพิโลบอลล์ เป็นต้น
รูปทรงภายนอก ที่มีการแต่งด้วยกันชนในรูปแบบเอสทีไอ นั้นเห็นได้ถึงการทุ่มใจทำเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีชิ้นส่วนแบบพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ เช่น ช่องดูดอากาศขนาดใหญ่
เพื่อให้มีไอดีเข้าสู่อินเตอร์คูเลอร์ ฝาครอบไฟตัดหมอกที่ประดับโลโก เอสทีไอ ตะแกรงชุบโครเมียม และล้อแมกสีทองขนาด 18 นิ้ว เป็นต้น ส่วนสีตัวถัง แม้จะมีสีขาว และสีเงิน เตรียมไว้ให้เลือก แต่สีที่ขอแนะนำน่าจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม แบบ WRC เพราะดูโดดเด่น ไม่ว่าจะอยู่ใต้อาคาร หรือตามทางในป่า ทำให้ดูเป็นรถแข่ง WRC จริงๆ
ชิ้นส่วนที่ติดตั้งภายนอกนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของอุปกรณ์ที่ติดตั้งทั้งหมด ยังมีการทุ่มทุนเสริมอุปกรณ์ในระบบรองรับ และระบบขับเคลื่อนด้วย เช่น เบรคคาลิเพอร์ ขนาด 17 นิ้วของเบลนโบ ที่มี 4 พอทหันชนด้านหน้า และ 2 พอทหันชนด้านหลัง สตรัคแบบกลับหัวที่มีการปรับตั้งให้เหมาะกับรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ แขนล่างกับตัวยึดคู่ขนานที่ด้านหลัง (LOW ARM & REAR PARALLEL LINK) ทำจากอลูมิเนียม และระบบแอลเอสดี ของดิฟฟ์หน้า/หลัง
แม้จะตั้งท่าเสียดิบดี แต่กลับวางเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ความจุ 2.5 ลิตร พร้อมเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ อย่างไรก็ดี มีการพัฒนาเครื่องยนต์ด้วยวาล์วไอดีที่สอดใส่เนเทรียม และลูกสูบที่มีความแข็งแกร่งสูง ทำให้ได้กำลังสูงสุดถึง 265 แรงม้า ซึ่งเป็นค่าที่สูงกว่ารุ่น เอกซ์ที ที่วางเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ความจุ 2.0 ลิตร ถึง 45 แรงม้า
ความสดใหม่
เป็นนโยบายหลักในการผลิต
ส่วนที่ทำยากที่สุดของรถรุ่นนี้ คือ การตกแต่งภายใน แม้จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกได้ด้วยการเสริมแต่งอุปกรณ์อย่างพวกแอโรพาร์ทเข้าไป แต่สำหรับบรรยากาศภายใน ไม่อาจเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ
สิ่งที่น่าประทับใจอันดับแรก คือ การใช้ที่นั่งแบบแบคเกทอย่างดี ส่วนหนุนด้านข้างมีความสูงเต็มพิกัดที่จะไม่เกะกะเวลาขึ้น/ลงรถ แม้คนอ้วนเข้าไปนั่งก็รู้สึกว่าบั้นท้ายจมลงไปอย่างพอเหมาะ เวลาที่ขับไปทำงานจะอึดอัดบ้างกับความรู้สึกในการถูกที่นั่งหุ้มหลังและบั้นท้ายทั้งหมดไว้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมีสมรรถนะในการหนุนร่างและความสบายในการขับขี่อย่างยอดเยี่ยม วัสดุหุ้มที่นั่งเป็นใยสังเคราะห์เนื้อนิ่ม แบบหนังลูกวัว ผสมกับผ้าเจอร์ซี ซึ่งไม่ค่อยลื่นไหล และไม่เลอะเทอะ เวลากดคันโยกปรับความสูงของที่นั่ง มุมของเบาะนั่งก็จะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งเป็นโครงสร้างที่น่าดูน่าชม และด้วยเหตุที่คนตัวใหญ่มักอยากจะเลื่อนเบาะที่นั่งไปข้างหลัง ขณะที่คนตัวเล็กอยากจะเลื่อนไปข้างหน้า จึงนับว่าที่นั่งแบบแบคเกท มีโครงสร้างการปรับตำแหน่งที่ถูกใจ แค่ที่นั่งแบบนี้ก็ทำให้เรารู้สึกประทับใจว่า ฟอเรสเตอร์ จะกลายเป็นรถสปอร์ทเอสยูวีชั้นสูงได้ และในสภาพเช่นนี้ เพียงแต่ติดตั้งเข็มขัดนิรภัยแบบยึดสี่จุดเข้าไป ก็น่าจะนำไปใช้ในการแข่งรถได้ด้วย
สิ่งที่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ได้แก่ คันเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ มันให้ความรู้สึกดีด้วยสัมผัสในการควบคุมที่พอเหมาะ และสมรรถนะในการควบคุมด้วยสโตรคที่สั้น ส่วนวิธีพิเศษในการเข้าเกียร์ถอยหลังที่ต้องดึงปลอกตรงด้านล่างกระปุกเกียร์ขึ้นขณะเปลี่ยนเกียร์ ก็ทำให้เราตระหนักในความเป็นรถแบบพิเศษของรุ่นนี้ด้วย ยิ่งกว่านั้น ยังมีอุปกรณ์พิเศษเฉพาะของเอสทีไอ อื่นๆ อีก เช่น พวงมาลัยกับเบรคมือที่มีการทำปลอกหุ้มเดินตะเข็บสีแดงให้ และคันบังคับทำจากอลูมิเนียม เป็นต้น แม้พื้นที่บริเวณคันบังคับจะอัดแน่นไปหน่อย แต่สำหรับเอสทีไอ อย่างนี้ละดีแล้ว และเห็นได้ว่าสัมพันธภาพในตำแหน่งของคันเบรคกับคันเร่ง ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความคล่องตัวในการเหยียบและถอน
ถ้าคุณมีฝีมือ
ก็พร้อมลุย ได้เต็มที่
สิ่งที่ต้องเตรียมใจรับไว้ก่อน คือ เสียงรบกวนจากพื้นถนนที่ดังมาก เวลาที่วิ่งไปตามถนนราดยางที่ผิวค่อนข้างขรุขระ จะได้ยินเสียงสะท้อนดังมาจากหน้ารถ และบริเวณห้องบรรทุกสัมภาระ ความดังนี้จะแปรไปตามสภาพผิวถนน บางครั้งดังจนแทบจะกลบเสียงขับพลังของเทอร์โบ
รถรุ่นนี้มีจุดดีอีกมากมายแทบจะเป็นเท่าตัวที่จะเข้ามาทดแทนจุดด้อยดังกล่าว เช่น เสียงของเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 4 สูบเรียง ความจุ 2.5 ลิตร มีคุณสมบัติที่เร้าใจมาก โดยเฉพาะความมันจากการเร่งความเร็ว แค่เปลี่ยนเกียร์ไปตามจังหวะ เข็มความเร็วก็จะพุ่งขึ้นขีดสูงสุดในชั่วอึดใจเดียว แม้จะมีการติดตั้งแอลเอสดี ที่เรียกว่า ชัวทแรค ให้ที่ดิฟฟ์หน้า/หลัง แต่ไม่มีวีดีซี (VDC: VEHICLE DYNAMICS CONTROL) ที่มีสมรรถนะในการควบคุมแรงฉุดด้วย แต่ต้องระมัดระวังสักหน่อยกับการควบคุมคันเร่งในเวลาที่วิ่งบนทางขรุขระ และทางเปียก แม้ช่วงล่างจะแข็งเป็นธรรมดา แต่ถึงจะแล่นข้ามหลุม ก็ใช่ว่าจะมีแรงกระแทกเข้ามา กลับผ่านไปได้อย่างนุ่มนวล
นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในรอบสองปีกว่าๆ ตั้งแต่เปิดตัว ฟอเรสเตอร์ รุ่นเอสจี ด้วยเหตุที่ ซูบารุ ไม่ใช่ผู้ผลิตรถยนต์ที่ขยันเปลี่ยนรุ่นบ่อยๆ ดังนั้นจึงต้องนำเสนอการเพิ่มเกรดรถ หรือทำไมเนอร์เชนจ์ ให้เป็นที่ถูกใจแฟนๆ และการเพิ่มรุ่นเอสทีไอ ในครั้งนี้ จึงน่าจะตอบสนองความอยากของลูกค้าที่ชอบเกียร์ธรรมดา ตามสไตล์รถสปอร์ท และยิ่งประทับตรา เอสทีไอ ท้ายรถด้วยแล้ว มันช่วยเพิ่มเสน่ห์ และความดุดันให้กับ ฟอเรสเตอร์ แบบช่วยไม่ได้จริงๆ
ข้อมูลจำเพาะ
ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ เอสทีไอ
มิติ และน้ำหนัก
ยาว/กว้าง/สูง (มม.) 4,445/1,735/1,550
ความยาวฐานล้อ (มม.) 2,525
ความกว้างฐานล้อ (หน้า/หลัง) (มม.) 1,505/1,500
ความสูงท้องรถ (มม.) 170
น้ำหนักรถ (กก.) 1,490
ขนาดยางรถยนต์ 225/45R18
เครื่องยนต์
ชนิด เบนซิน 4 สูบเรียง DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ความจุลูกสูบ (ซีซี) 2,457
กำลังสูงสุด (พีเอส/รตน.) 265/5,600
แรงบิดสูงสุด (กก.-ม./รตน.) 28.5/3,600
ความจุถังน้ำมัน (ลิตร) 60
ระบบถ่ายทอดกำลัง
เกียร์ธรรมดา (จังหวะ) เดินหน้า 6 ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิค
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
ชนิด ฟูลล์ไทม์ 4x4
ระบบรองรับ
หน้า/หลัง แบบสตรัท
ระบบห้ามล้อ
หน้า/หลัง แบบจาน พร้อมช่องระบายความร้อน
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/13071