เทคนิค
การขับลงเขานั้น ทันทีที่เริ่มไต่ลงมา ให้ไต่ลงมาตรงๆ เป็นพอ ไม่ต้องปรับแก้ทางวิ่งกันใหม่เหมือนอย่างทางที่ขรุขระมากหรือทางขึ้นเขา แต่ต้องระมัดระวังให้ดีตอนออกตัว ห้ามวิ่งเข้าในแนวเฉียงแล้วไต่ลงมาเป็นอันขาด(รูปครึ่งซ้าย หน้า 163/2002-06 จากซ้ายมาขวา บนลงล่าง)
บทที่ 1 วิ่งเข้าตรงๆ และวิ่งลงตรงๆ !
การขับลงเขานั้น ทันทีที่เริ่มไต่ลงมา ให้ไต่ลงมาตรงๆ เป็นพอ ไม่ต้องปรับแก้ทางวิ่งกันใหม่เหมือนอย่างทางที่ขรุขระมากหรือทางขึ้นเขา แต่ต้องระมัดระวังให้ดีตอนออกตัว ห้ามวิ่งเข้าในแนวเฉียงแล้วไต่ลงมาเป็นอันขาด(รูปครึ่งซ้าย หน้า 163/2002-06 จากซ้ายมาขวา บนลงล่าง)
เมื่อรถเริ่มไต่ลงมาแล้ว สำหรับรถเกียร์ธรรมดาให้วิ่งลงมา โดยใช้เอนจินเบรคให้เป็นประโยชน์เสมอ
ถ้าอัตราความเร็วทำท่าว่าจะสูงเกินไป ก็ให้เหยียบย้ำเบรคคุมเป็นระยะๆ ซึ่งเรื่องนี้รถเกียร์อัตโนมัติก็ต้องทำเช่นเดียวกัน
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างระบบเกียร์ธรรมดากับระบบเกียร์อัตโนมัติของรถรุ่นเดียวกัน ปรากฏว่าระบบ
เกียร์ธรรมดาให้ผลในการเบรคมากกว่า เนื่องจากความสัมพันธ์ของอัตราทดเกียร์ และระบบคลัทช์
ด้วยเหตุนี้ รถเกียร์ธรรมดาจึงไม่ต้องอาศัยการเหยียบเบรคมากเท่ารถเกียร์อัตโนมัติในการลดอัตราความเร็ว ดังนั้น ในการขับลงเขา รถเกียร์ธรรมดาจึงทำได้อย่างเป็นต่อ
จุดตรวจสอบ
แนวสายตา ต้องมองตรงไปข้างหน้าเสมอ
มนุษย์เรามักจะบังคับรถไปในทิศทางเดียวกับแนวสายตา ยิ่งเวลาที่ใจลอยหรือตกอยู่ในอาการตื่นตระหนกก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้นมากขึ้น ดังนั้น ควรจะมองตรงไปข้างหน้าเสมอ และจับพวงมาลัยอย่างมั่นคงด้วยสองมือเสมอ เพื่อเตรียมรับเหตุฉุกเฉิน บางเวลาต้องมีการเหยียบคันเร่งช่วยด้วย !
ถ้าเลือกใช้เกียร์ต่ำเกินไปจนเกิดล้อลอค ให้เหยียบคันเร่งไม่ใช่เบรค ทั้งนี้ การใส่แรงฉุดลงสู่ผิวทางเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อการขับลงเขาอย่างปลอดภัย
เบรค ให้เหยียบเป็นระยะกรณีที่ใช้เอนจินเบรคไม่ได้ผล ให้ใช้เบรคเท้า แต่ถ้าเหยียบเบรคมากเกินไปจนทำให้ล้อลอค ก็ให้ถอนเท้าจากแป้นเบรค เพื่อรักษาแรงฉุดของล้อเอาไว้
จำใส่ใจไว้ว่าต้องมีแรงฉุดส่งให้ยางรถยนต์เสมอเมื่อขับลงเขา ! บนทางโค้ง ต้องระวังตอนขาลงมากกว่าตอนขาขึ้น เนื่องจากตอนขาลงจะมีความเร็วสมทบออกมาจึงจำเป็นต้องควบคุมเบรคมากกว่าตอนขาขึ้น ถึงกระนั้นถ้าเพียงแต่รักษาพื้นฐานการขับขี่เอาไว้ ก็จะสามารถขับไปอย่างปลอดภัย จึงอุ่นใจได้
ขั้นแรก สิ่งที่ต้องทำก่อนเพื่อน คือ การสำรวจตรวจสภาพล่วงหน้า เพราะเราไม่รู้ว่าจะได้เจอสภาพทางอย่างไรบ้าง เช่น พอขับขึ้นเขาไป แล้วจะขับลงเขาทางฝั่งตรงข้ามมาเลย จู่ๆ ก็เจอเข้ากับทางลาดชันสุดๆ อีกทั้งผิวทางยังเป็นหลุม-เนินด้วย ทำให้ตกใจและไม่กล้าขับลงไป แต่ก็ไม่สามารถถอยหลังกลับขึ้นไปทั้งอย่างนั้นได้...
ควรลองทำดูหลังจากที่ตรวจสภาพล่วงหน้าแล้วคิดว่า "สามารถไปได้" ทั้งนี้ เรื่องที่ต้องระมัดระวังก็คือ วิธีขับเข้าหา เนื่องจากวัตถุมีแนวโน้มที่จะตกลงแบบทิ้งดิ่ง ดังนั้น เมื่อวิ่งเข้าหาทางลาดอย่างเฉียงๆ รถก็มีแนวโน้มที่จะทิ้งดิ่งลงมาทั้งเฉียงๆ อย่างนั้น และดึงให้เกิดการพลิกคว่ำไปเลย ถ้าความเร็วพุ่งออกมามากเกินไป ก็ให้ใช้เบรคปรับความเร็ว แต่ต้องระวังอย่าทำให้ล้อลอค เพราะเมื่อล้อลอคไปแล้ว ก็จะบังคับพวงมาลัยไม่ได้
ที่จริงเมื่อเร็วๆ นี้ คนที่รู้จักกันคนหนึ่งได้ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำตรงทางลงเขา แม้เขาจะเป็นคนที่รู้จักกันในหมู่เพื่อนฝูงว่ามีเทคนิคการขับรถในระดับสูงก็ตาม...ทั้งนี้ สาเหตุก็คือ การละเลยต่อการสำรวจตรวจสภาพล่วงหน้า และวิ่งเข้าหาอย่างเฉียงๆ แม้เจ้าตัวจะบอกว่า "เผลอไปหน่อย" แต่ก็ยังรัดเข็มขัดนิรภัยไว้เรียบร้อย เรื่องจึงจบลงที่แค่มีการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งนับว่ามีโชคดีในโชคร้าย สรุปแล้ว ตรงทางลงเขา ถ้ามีการพลั้งเผลออย่างนี้ ก็จะเกิดการพลิกคว่ำได้ง่ายมาก จึงอยากให้ขับกันอย่างระมัดระวัง
บทที่ 2 วิธีสตาร์ทตอนลงเขา ง่ายๆ แต่แน่นอน
ขอแนะนำเทคนิคง่ายๆ สำหรับผู้อ่านของเราซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกที่นิยมระบบเกียร์ธรรมดา
การจอดรถจนหยุดสนิทสักครั้งที่จุดสตาร์ทก่อนขับลงเขา เพื่อลดแรงเฉื่อยให้เหลือน้อยที่สุด เป็นเทคนิคพื้นฐาน จากนั้นจึงจะเข้าสู่การเลี้ยงคลัทช์เพื่อให้เดินหน้าลงไปอย่างช้าๆ
แต่สำหรับผู้ที่ไม่ถนัดเรื่องการเลี้ยงคลัทช์-คลัทช์จะถอนกะทันหัน ความเร็วจะพุ่งโดยไม่ทันตั้งตัว จึงเหยียบเบรคอย่างแรงด้วยความตื่นกลัวจนล้อเกิดลอค แล้วเท้าซ้ายก็จะพลอยเหยียบคลัทช์ ตามเท้าขวาไปด้วย ทำให้รถไหลลงไปโดยปราศจากแรงฉุดจากเครื่องยนต์
อย่างที่แนะนำไปแล้วในบทก่อนว่า ถ้าล้อเกิดลอคไปแล้ว จะทำให้ควบคุมพวงมาลัยไม่ได้ เทคนิคที่จะแนะนำต่อไปนี้ จะช่วยให้หลีกเลี่ยงจากสภาพการณ์ที่อันตรายยิ่งนั้นได้
ถ้าฝึกให้เชี่ยวชาญแล้ว ก็จะสามารถใช้การเบรคด้วยเครื่องยนต์อย่างได้ผลดีตั้งแต่เริ่มไต่ลงเขา
1. ก่อนไต่ลง ให้จอดรถสักครั้งก่อน จอดรถตรงตำแหน่งที่ล้อหน้ายังไม่แตะทางลาด อย่าวิ่งเข้าหาในแนวเฉียง และต้องตั้งพวงมาลัยให้ตรงไปข้างหน้าเสมอ
2. ดับเครื่องเมื่อรถจอดนิ่งแล้ว ให้ดับเครื่องยนต์ และเหยียบเบรคหรือขึ้นเบรคมือเอาไว้เสมอ เพื่อไม่ให้รถเคลื่อนที่
3. เข้าเกียร์เหยียบคลัทช์แล้วเข้าเกียร์ โดยเลือกจังหวะเกียร์เหมือนตอนไต่ขึ้นเขาเป็นใช้ได้ และเข้าเกียร์เอาไว้ขณะที่ยังใช้งานเบรคอยู่
4. ถอนคลัทช์เมื่อเกียร์เข้าตามจังหวะเรียบร้อยแล้ว ให้ถอนคลัทช์ แม้รถจะขยับนิดหน่อย ก็อย่าเหยียบคลัทช์ ให้ดึงเท้าซ้ายออกห่างจากคลัทช์ไปเลย
5. ติดเครื่องยนต์เมื่อถอนคลัทช์แล้ว ก็ให้ปล่อยเบรค และหมุนกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ ในขณะที่เกียร์ยังอยู่ในตำแหน่งนั้น ตอนนี้รถจะเคลื่อนออกไปด้วยแรงของมอเตอร์สตาร์ท
เมื่อรถเริ่มไต่ลง เครื่องยนต์จะเริ่มทำงานทันทีตามแรงบังคับ จึงสามารถนำรถวิ่งลงไปได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องใช้ฝีมือเป็นพิเศษ ถ้าความเร็วพุ่งมากไป ให้ใช้เบรคคุมความเร็วรถ และค่อยๆ ไต่ลงมาอย่างช้าๆ
บทที่ 3 ใช้เกียร์ต่ำดีกว่า ! นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างแรง !
เวลาไต่ลงเขา ถ้าล้อลอคเพราะการเบรค ก็เพียงแต่ปล่อยเบรคเป็นใช้ได้ แต่ถ้าล้อลอคเพราะการเลือกใช้เกียร์ต่ำเกินไปล่ะ ? ในยามนั้นต้องเหยียบคันเร่งช่วยอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การเลือกจังหวะเกียร์จึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
บางเวลาและบางกรณีก็จำเป็นต้องเหยียบคันเร่ง ไม่ใช่เบรค เคล็ดลับในการไต่ลงเขา คือ ใช้เอนจินเบรคให้เป็นประโยชน์ ทั้งนี้ เอนจินเบรคก็คือ การสร้างแรงต้านให้เกิดขึ้นตอนที่เครื่องยนต์กำลังจะถูกขับด้วยแรงหมุนของล้อ แรงต้านดังกล่าวจะมีกำลังมาก และกลับจะไปช่วยชลอการหมุนของล้อ
แต่ถึงแม้ว่าแม้เอนจินเบรคจะใช้ได้ผลกับเกียร์ต่ำมากกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เกียร์ยิ่งต่ำยิ่งดี เพราะเมื่อเลยขนาดของมุมที่ตายตัวขนาดหนึ่งไปแล้ว ถ้าการเพิ่มขึ้นของรอบเครื่องยนต์ไล่ไม่ทันอัตราเร่งความเร็วของรถที่ไต่ลงเขา ก็จะทำให้ล้อลอคไปเลย ดังนั้น บนทางลาดที่มุมชันมากหรือมีระยะทางทอดยาวมาก จึงน่าจะเลือกใช้เกียร์โลว์เรนจ์จังหวะ 2 ดีกว่า และถ้าล้อเกิดลอค ก็ให้เหยียบคันเร่งช่วย โดยต้องระวังให้การหมุนของล้อสอดคล้องกับอัตราความเร็วของรถที่กำลังไหลลงเขาด้วย เมื่อทำเช่นนี้แล้ว ยางรถยนต์ก็จะกลับไปมีแรงยึดเกาะและการควบคุมพวงมาลัยก็จะกลับไปมีผลอีกครั้ง นอกจากนี้ ในกรณีที่ล้อทั้งสี่เกิดลื่นไถลก็เช่นกัน ให้เหยียบคันเร่งดีกว่าเหยียบเบรค จึงจะคุมอาการของรถได้อย่างปลอดภัย ดังนั้น การขับรถลงเขา บางครั้งก็จำเป็นต้องอาศัยความกล้าที่จะเหยียบคันเร่งด้วย
ไม่ว่าในช่วงไหน ถ้าตัวรถเกิดเอียงละก็...
การบังคับรถแบบกะทันหัน ผิด!
การเหยียบหรือหักพวงมาลัยแบบกะทันหัน รังแต่จะทำให้อาการของรถเลวร้ายลง และขั้นเลวร้ายที่สุด ก็ทำให้รถคว่ำได้ จึงควรหลีกเลี่ยงจากการกระทำดังกล่าว
บังคับรถอย่าหักโหมควรเหยียบเบรคและคันเร่งอย่างเบาแรง เพื่อจะได้ไม่ทำให้ล้อลอค แล้วค่อยๆ เบนพวงมาลัยไปทางฝั่งหุบเขา
ตัวอย่างพิเศษ กรณีที่ 1
ในพื้นที่ที่มีโขดหิน ต้องใช้เบรคเท้าเป็นหลัก
ในการวิ่งลงทางลาดของพื้นที่ที่มีโขดหิน ไม่จำเป็นต้องใช้เอนจินเบรค แต่ให้ค่อยๆ
ไต่ลงไปโดยอาศัยการเลี้ยงคลัทช์และเบรคให้เป็นประโยชน์ ทั้งนี้ ควรเลือกทางวิ่งอย่างระมัดระวัง โดยให้อยู่ในแนวที่ไม่ทำให้ชิ้นส่วนใต้ท้องรถชนกระแทกเข้ากับก้อนหิน
ตัวอย่างพิเศษ กรณีที่ 2
ใช่ว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อจะดีกว่าเสมอไปบนทางลงเขาที่มีรอยล้อลึก บางกรณีระบบขับเคลื่อนสองล้อ (FR) ก็ช่วยให้ไต่ลงเขาได้ปลอดภัยดีกว่า ทั้งนี้ เมื่อมีแรงขับเคลื่อนที่ล้อหน้าแล้ว จะปีนข้ามรอยล้อในช่วงไหน ก็อาจเกิดการหลุดออกจากทางวิ่งได้
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน มกราคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : เทคนิค
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/12916