ทั่วไป
ทิ้งมาดกะทัดรัด สู่ความหรู ที่เปี่ยมเสน่ห์
เอสกูโด ซึ่งสร้างจุดยืนแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครในระดับที่เรียกว่า "คอมแพคท์ 4x4" นั้น
ทำการเปิดตัวด้วยฐานะรถ 4x4 เมื่อปี 1988 และมีการทำฟูลล์โมเดลเชนจ์ เมื่อปี 1997 จริงๆ แล้ว เสน่ห์ของ เอสกูโด อยู่ตรงไหนกันแน่ ? เราลองมาตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้ง ในโอกาสที่มีการนำ แกรนด์ เอสกูโด "แอล เอดิชัน" ออกจำหน่าย...
น้ำหนักเบาเมื่อเทียบกับขนาด
วางเครื่อง วี 6 พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
ความยาวรวมของ แกรนด์ เอสกูโด เท่ากับ 4,640 มม. ยาวกว่า เอสกูโด (แบบ 4 ประตู) อยู่ 485 มม.
และยาวกว่ารุ่น 3 ประตูของยุคแรกถึง 1,080 มม. ข้อเท็จจริงด้วยความที่มันสั้นกว่า โตโยตา แลนด์
ครูเซอร์ ปราโด (แบบ 4 ประตู) อยู่ 75 มม. มันจึงเหนือกว่าในด้านความยาวฐานล้อ ตอนนี้มันมีขนาดที่ไม่กะทัดรัดเสียแล้ว และได้รับการขยับขึ้นไปอยู่ในประเภทรถระดับกลาง
แต่ว่า เมื่อลองขึ้นไปขับจริงๆ ปรากฏว่าตำแหน่งของเบาะที่นั่งอยู่ในระดับที่ไม่สูงเท่าไรนัก และเนื่องจากความกว้างก็เท่ากับ เอสกูโด ด้วย จึงไม่ค่อยรู้สึกว่าใหญ่ แม้จะเพิ่งรู้สึกถึงความยาวเอาจริงๆ ตอนที่นำรถเข้าจอดในที่จอดรถ แต่ก็คงไม่ถึงขนาดที่ทำให้คนขับรถรุ่นนี้ รู้สึกลำบาก แม้กับคนขับที่เป็นผู้หญิงซึ่งมีความรู้สึกต้าน "ความใหญ่" ของ ปราโด ทั้งนี้ ตามความรู้สึกของเราแล้ว ถึงอย่างไร
มันก็ยังเป็นรถกะทัดรัดอยู่ดี
ในส่วนของเครื่องยนต์ มีการเตรียมเครื่องยนต์ วี 6 ความจุ 2.7 ลิตร แบบที่ใช้เฉพาะกับ แกรนด์
เอสกูโด เอาไว้ให้ ด้วยกำลังสูงสุด 184 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 25.5 กก.-ม. ทำให้ทรงพลังกว่า แน่นอน เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง ความจุ 2.0 ลิตรที่ใช้ใน เอสกูโด และยังรวมไปถึงเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง ความจุ 2.7 ลิตรของ ปราโด ที่เรานำมาใช้เปรียบเทียบอยู่บ่อยๆ มันช่วยลากตัวถังที่หนักเกือบ 1.7 ตันไปได้อย่างกระฉับกระเฉง ยิ่งกว่านั้น ระบบถ่ายทอดกำลังที่มีการนำมาใช้เข้าคู่กันยังเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ที่มีใช้เฉพาะในรุ่น แกรนด์ เอสกูโด ของรถ ซูซูกิ อีกด้วย
เนื่องจากมีการกำหนดอัตราทดเกียร์ทั้งหมด ไว้ในระดับต่ำ มันจึงให้แรงบิดเต็มเปี่ยม ตั้งแต่ช่วงออกตัว และยังคงให้แรงเยี่ยมในช่วงเร่งความเร็วระดับกลางด้วย แม้เมื่อเทียบกับการวิ่งของรุ่นที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะในยุคก่อนทำไมเนอร์เชนจ์ นอกจากนี้ การเชื่อมต่อจังหวะเกียร์ ก็เป็นไปอย่างนุ่มนวล แม้จะใช้เกียร์สูงสุดวิ่งด้วยความเร็วสูง ก็ยังสงบและให้ความรู้สึกที่ดี อีกทั้งการปรับตั้งสปริงและแดมเพอร์ ทำได้ดี โดยมีการปรับตั้งไม่ให้นิ่มเกินจนเพี้ยน แต่อยู่ในระดับที่แข็งนิดๆ สำหรับรถระดับนี้ เวลาที่วิ่งเลี้ยวโค้ง แม้จะหักกลับเพียงนิดหน่อย ก็ยังให้การยึดเกาะที่เหนียวแน่น แต่ถ้าชี้ชัดลงไปอีก มันก็มีตำหนิอยู่หน่อย ในเรื่องการรักษาเสถียรภาพบนทางตรงเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง
ขยายขนาด พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์
ล่าสุด ติดตั้งที่นั่งแถวสาม
เอสกูโด รุ่นแรกเริ่ม ได้รับการเปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 1988 โดยมีการบุกเบิกประเภทของรถที่
แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร ในฐานะรถครอสส์คันทรี ที่ใช้งานในเมือง ช่วงแรกมีแค่แบบ 3 ประตูเท่านั้น
และกำหนดแบบหลังคาไว้เพียงสามแบบ คือ ฮาร์ดทอพ, ฮาร์ดทอพแวน และหลังคาผ้าใบ ขณะที่
เครื่องยนต์ก็มีแค่ความจุ 1.6 ลิตรขนาดเดียว ส่วนความยาวรวมของรถ เมื่อเทียบกับ จิมนี เจบี 23
ยาวกว่าเล็กน้อยเพียง 165 มม. จัดว่าเป็น 4x4 ขนาดกะทัดรัดจริงๆ หลังจากนั้นในปี 1990 ก็มีรุ่น
โนแมด ที่ได้รับการขยายความยาวรวมอีก 415 มม. ออกมา รุ่นนี้เป็นรถที่มีสมดุลของรูปแบบดีมาก
และเป็นแบบสี่ประตูที่ใช้ง่ายอย่างยิ่ง นับแต่นั้นก็ได้รับความนิยมตามกระแสของ 4x4 เรียกว่า โนแมด เป็นนายแสนดีที่ช่วยดันตลาดของคอมแพคท์ 4x4 เป็นที่ยอมรับของมหาชน
แต่บริษัทอื่นๆ ก็พากันทำตามอย่างรวดเร็ว โดยมี โตโยตา รัฟโฟร์ ออกมาในปี 1994 และฮอนดา
ซีอาร์-วี ในปี 1995 แม้ เอสกูโด เองจะมีการทำโมเดลเชนจ์ ในปี 1997 หลังจากนั้นก็มี มิตซูบิชิ ปาเจโร ไอโอ ออกมาในปี 1998 ตามมาด้วย รัฟโฟร์ รุ่นที่สองกับ นิสสัน เอกซ์ทเรล ในปี 2000 และซีอาร์-วี รุ่นที่สองในปี 2001 โดยแต่ละบริษัทพากันพุ่งไปตามกระแสนิยม แต่แล้วรถระดับคอมแพคท์ 4x4 ก็โตเต็มที่พร้อมกับการไปถึงสภาพอิ่มตัว และในที่สุดก็กลายเป็นว่า นิสสัน เอกซ์ทเรล สามารถครองใจวัยรุ่นได้มากกว่ายื่ห้ออื่นๆ
ท่ามกลางสภาพดังกล่าว เอสกูโด รุ่นปัจจุบันมีการวางตำแหน่งสินค้าไว้ตรงไหน ? มันยังอยู่ในฐานะ
ของรุ่นบุกเบิกที่รักษาความคลาสสิคไว้มากที่สุด โดยเป็นรายเดียวในกลุ่มคอมแพคท์ 4x4 ที่ใช้เฟรม
แบบขั้นบันได และยังคงใช้ระบบ 4x4 แบบพาร์ทไทม์ อย่างต่อเนื่อง
และประมาณปลายปี 2000 มีรถรุ่นใหม่ที่ฉีกแนวจากคู่แข่งปรากฏขึ้นในตระกูล เอสกูโด รถรุ่นนั้นมี
ชื่อว่า "แกรนด์ เอสกูโด" ซึ่งนำเสนอประโยชน์ใช้สอยในมิติใหม่ จากการขยายความยาวฐานล้อ และติดตั้งที่นั่งแถวสามเข้าไป ทำให้มีความยาวออกไปมาก ทั้งๆ ที่ความกว้างยังคงอยู่ในระดับคอมแพคท์
ไร้ความหรูหรา
แต่เอาจริงเอาจังในการใช้งาน
การตกแต่งภายในเปลี่ยนไปมากและดึงดูดใจขึ้น ตอนที่ทำไมเนอร์เชนจ์ เมื่อปี 2002 ถ้าพูดอย่างจริงจังหน่อยล่ะก็ จำนวนและตำแหน่งของที่วางแก้ว ตรงที่นั่งแถวหน้ายังไม่น่าพอใจ และพวงมาลัยก็น่าจะมีรูปแบบที่ดึงดูดใจกว่านี้ แต่รถผลิตพิเศษที่เรียกว่า "แกรนด์ เอสกูโด แอล เอดิชัน" นั้น
นอกจากจะเปลี่ยนไปใช้ที่นั่งหุ้มหนังแท้แล้ว ยังเปลี่ยนวัสดุหุ้มแผงประตูเป็นแบบที่มีคุณภาพสูงด้วย
เรียกว่าเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศหรูสุดในประวัติศาสตร์ของ เอสกูโด
ด้านความสะดวกในการใช้พื้นที่โดยสารก็ยอดเยี่ยม สามารถบรรทุกผู้โดยสารตัวใหญ่และสัมภาระ
ชิ้นใหญ่ได้ดังใจ นอกจากนี้ บริเวณที่วางเท้าตรงที่นั่งแถวสองก็กว้าง และที่นั่งแถวสามก็เข้า/ออกได้ง่ายเกินคาด โดยเฉพาะที่นั่งแถวสาม เราคิดว่าเป็นแค่ที่นั่งเฉพาะกาลในยามฉุกเฉิน แต่มันกลับมีที่พิงศีรษะขนาดใหญ่ และมีการวางมุมเบาะนั่งอย่างแยบยล ทำให้ไม่เกิดความเมื่อยล้า
มันเป็น แกรนด์ เอสกูโด ที่ฝีเท้าดี ขับก็ง่าย บรรทุกทั้งคนและสิ่งของได้มาก แม้ว่าข้อมูลจำเพาะจะแสดงความเป็นครึ่งๆ กลางๆ ออกมาอย่างที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นระดับกะทัดรัด หรือระดับกลาง แต่มันก็เป็นรถที่ได้รับการผลิตอย่างเอาจริงเอาจังและใช้ประโยชน์ได้จริง
ดึงดูดใจผู้ใช้
แถมยังคุ้มค่าเหมือนเดิม
ซูซูกิ ได้นำเทคโนโลยีที่ปลูกฝังความเป็น จิมนี มาประยุกต์ใช้ และส่ง เอสกูโด ออกสู่โลกรถยนต์ในยุคที่ฟองสบู่เบ่งบานสุดๆ มันมีความเป็นรถเมือง และยังลุยหนักได้ด้วย ดังนั้นในฐานะรถ 4x4 ที่อยู่นอกประเภทรถที่มีอยู่ตอนนั้น ทำให้มันเป็นรถที่นำสมัยจริงๆ ตอนที่เปิดตัว มีรถแบบหลังคาผ้าใบด้วย และเครื่องยนต์ก็มีให้เลือกถึง 6 ชนิด ตั้งแต่แบบ 4 สูบเรียง ความจุ 1.6 ลิตรของยุคแรก ไปจนถึงแบบ วี 6 ความจุ 2.7 ลิตรของ แกรนด์ เอสกูโด ซึ่งในช่วงที่เฟื่องฟู มีเครื่องยนต์ 4 ชนิดที่ได้รับความนิยมสูง
เมื่อเปลี่ยนไปเป็นรุ่นใหม่ตั้งแต่ปี 1997 เอสกูโด ก็มีความโค้งมนขึ้นมาก แม้จะเปลี่ยนไปมีรูปแบบที่ดึงดูดใจ แต่ยังคงมีจุดแข็งในด้านขนาดที่พอเหมาะ สมรรถนะที่ยอดเยี่ยมในการวิ่งลุย และความสะดวกในการใช้งาน เดิมทีจะมีการวางโครงสร้างสินค้าไว้สองรุ่น คือ เอสกูโด กับแกรนด์ เอสกูโด
และมีเพียงเกรดเดียว แต่ปัจจุบันมีรถแบบพิเศษเพิ่มขึ้นมา ทำให้โครงสร้างเกรดกลายเป็นสองเกรดแยกตามคุณภาพ
อย่างไรก็ดี เสน่ห์ของรถพี่น้องตระกูล เอสกูโด น่าจะอยู่ที่ความคุ้มค่า โดยส่วนตัวคิดว่า "แอล เอดิชัน"
ที่แนะนำนี้ น่า "ซื้อ" ที่สุด
บันทึกประวัติศาสตร์
ของ ซูซูกิ เอสกูโด
- 25 พค. 1988 เปิดตัว เอสกูโด รุ่นแรก
ออกมาในฐานะรถ 4x4 ยุคใหม่ที่กะทัดรัดด้วยความยาวรวม 3,560 มม. เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเรียง ความจุ 1.6 ลิตร ส่วนระบบถ่ายทอดกำลัง มีแบบเกียร์อัตโนมัติ 3 จังหวะ กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และแบบตัวถัง มี 3 ประตู ฮาร์ดทอพ และหลังคาผ้าใบ
- 18 กย. 1990 เอสกูโด โนแมด ออกสู่ตลาด
มีการเพิ่มรุ่น 4 ประตูในชื่อ "เอสกูโด โนแมด" และยืดความยาวรวมออกไปอีก 415 มม. เป็น 3,975 มม. ส่วนเครื่องยนต์ได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 18 แรงม้า เป็น 100 แรงม้า และความสบายในการโดยสารได้รับการปรับตั้งให้อยู่ในขั้นนุ่มนวล
- 6 ธค. 1994 เพิ่มซีรีส์ 2000 ออกจำหน่าย
เพิ่มเครื่องยนต์แบบเบนซิน วี 6 DOHC ความจุ 2.0 ลิตร (140 แรงม้า) กับแบบเทอร์โบ ดีเซล 4
สูบเรียง ความจุ 2.0 ลิตร (76 แรงม้า) เข้าไปในสายผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ มีการขยายความกว้างฐานล้อ และติดโอเวอร์เฟนเดอร์ เข้าไป อีกทั้งมีการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบเบรค และจุดต่างๆ ของตัวถังด้วย
- 14 ตค. 1996 ซีรีส์ใหม่ 2000, 2500 ออกสู่ตลาด
รุ่น วี 6 เปลี่ยนเป็นความจุ 2.5 ลิตร (160 แรงม้า) อีกทั้งมีการเพิ่มรุ่นเบนซิน 4 สูบเรียง ความจุ 2.0
ลิตร (140 แรงม้า) เข้ามาด้วย ส่วนแบบเบนซิน กลายเป็นมีอินเตอร์คูเลอร์ (92 แรงม้า) ตอนนั้น ชื่อ "โนแมด" หายไปแล้ว
- 7 พย. 1997 ฟูลล์โมเดลเชนจ์
เปลี่ยนใหม่หมด เป็นรูปแบบที่เต็มไปด้วยความโค้งมน ส่วนเครื่องยนต์มีเบนซิน 4 สูบเรียง ความจุ 1.6 กับ 2.0 ลิตร จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ปีต่อมา จึงมีเครื่องยนต์เบนซิน วี 6 ความจุ 2.5 ลิตร และดีเซล พร้อมอินเตอร์คูเลอร์ 4 สูบเรียง ความจุ 2.0 ลิตร ออกสู่ตลาด
- 12 ธค. 2000 เปิดตัว แกรนด์ เอสกูโด
ใช้รุ่น 5 ประตู เครื่อง วี 6 เป็นพื้นฐาน แล้วยืดความยาวรวมไปเป็น (4,575 มม.) และเสริมที่นั่งแถวสามเข้าไป ส่วนเครื่องยนต์มีการเพิ่มความจุลูกสูบเป็น 2.7 ลิตร (177 แรงม้า) และมีการเพิ่มความแข็งแกร่งเต็มที่ โดยใช้ไซด์เมนบาร์ที่หนา เป็นต้น
ซูซูกิ เอสกูโด
กับรุ่นต่างๆ ในอเมริกาเหนือ
เอสกูโด เป็นรถ 4x4 ที่ได้รับการวางตำแหน่งให้เป็นรถบุกตลาดทั่วโลกของ ซูซูกิ โดยเคียงบ่าเคียงไหล่กับ ซามูไร (จิมนี) รุ่นแรกเริ่มในอเมริกาเหนือ ได้แก่ "ไซด์คิค" และ เชฟโรเลต์ ทรัคเกอร์ ส่วนในยุโรป ได้แก่ วีทารา แต่ปัจจุบันมีการรวม วีทารา และ ทรัคเกอร์ เป็นหนึ่งเดียว เราจะมาดูถึงสายพันธุ์ของ ซูซูกิ ในตลาดอเมริกาเหนือ กันบ้าง เริ่มจาก...
- วีทารา
รุ่นพื้นฐาน วางเครื่องยนต์ วี 6 ความจุ 2.5 ลิตร มีทั้งแบบขับเคลื่อนสอง และสี่ล้อ ทั้งนี้
ราคาของรถแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่ากับ 18,199 เหรียญสรอ.
- แกรนด์ วีทารา
ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษ เช่น ล้ออลูมิเนียม และกระจกมองข้างกับกันชนสีเดียวกับตัวถัง เป็นต้น ทั้งนี้
ราคาของรถแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่ากับ 19,699 เหรียญสรอ.
- แกรนด์ วีทารา แอลเอกซ์-7
แกรนด์ เอสกูโด นั้น ในสหรัฐอเมริกา เรียกว่า แอลเอกซ์-7 และมีข้อมูลจำเพาะเหมือนที่ญี่ปุ่น ทั้งนี้
ราคาของรถแบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ เท่ากับ 24,499 เหรียญสรอ.
- ทรัคเกอร์
มันเป็น เอสกูโด ภายใต้ยี่ห้อ เชฟโรเลต์ ตอนแรกมีเพียงรุ่นหลังคาผ้าใบ แบบสามประตูรุ่นเดียว
น่าแปลกที่แค่ใส่เครื่องหมาย เชฟโรเลต์ เข้าไปที่ตรงกลางตะแกรงหน้า ก็ทำให้มันมีใบหน้าที่ดูเป็น เชฟโรเลต์
ข้อมูลจำเพาะ
ซูซูกิ แกรนด์ เอสกูโด แอล เอดิชัน เอสกูโด เอส เอดิชัน
มิติ และน้ำหนัก
ย/ก/ส (มม.) 4,640/1,780/1,740 4,155/1,780/1,685
ความยาวฐานล้อ (มม.) 2,800 2,480
ความกว้างฐานล้อ (หน้า/หลัง) (มม.) 1,500/1,500
ความสูงท้องรถ (มม.) 185 195
น้ำหนักรถ (กก.) 1,680 1,380
จำนวนผู้โดยสาร (คน) 7 5
ขนาดยางรถยนต์ 235/60R16 235/60R16
เครื่องยนต์
ชนิด วี 6 สูบ DOHC 4 สูบ DOHC
ระบายความร้อนด้วยน้ำ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ความจุ (ซีซี) 2,736 1,995
กำลังสูงสุด (พีเอส/รตน.) 184/6,000 140/6,000
แรงบิดสูงสุด (กก.-ม./รตน.) 25.5/3,300 19.7/4,000
ระบบถ่ายทอดกำลัง
เกียร์อัตโนมัติ (จังหวะ) เดินหน้า 5 เดินหน้า 4
ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิคส์ ควบคุมด้วยอีเลคทรอนิคส์
ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ
ชนิด พาร์ทไทม์
ระบบรองรับ
หน้า สตรัท-คอยล์สปริง
หลัง คานแข็ง เหล็กยึด 5 จุด คอยล์สปริง
ระบบห้ามล้อ
หน้า จาน พร้อมช่องระบายความร้อน
หลัง ดุม
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/12799