พิเศษ
-
ตลอดปี 2544 ที่ผ่านมา แวดวงยานยนต์เมืองไทยมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น
ผลดีดีแก่ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวรถใหม่ ผู้แทนจำหน่ายใหม่ที่บริษัทแม่เข้ามาลงทุนเอง รวมถึง
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายต่างๆ ฯลฯ
"ฟอร์มูลา" รวบรวม 10 ข่าวเด่นในรอบปีนี้มาให้อ่านกัน
1. 11 กันยายน ทมิฬ
การก่อการร้ายใน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา นอกจากจะนำมาซึ่งการสูญเสียชีวิต
และทรัพย์สินจำนวนมหาศาลแล้ว ยังเป็นชนวนแห่งสงคราม อันยืดเยื้อจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะไม่เกี่ยว
ข้องโดยตรงกับแวดวงยานยนต์ แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจโลกปั่นป่วน และนักการตลาดต้องปรับตัวเลขยอด
ขายรถยนต์ปี 2544 กันอุตลุด !
2. สงคราม 1,800 ซีซี
เริ่มต้นด้วย บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย จำกัด ผู้นำอันดับ 2 ในตลาดของรถเก๋งขนาดเล็ก
ได้ชิงแนะนำ ฮอนดา ซีวิค รุ่นที่ 7 ตั้งแต่ปลายปี 2543 แบบค่อนข้างแหวกแนว ด้วยการวางเครื่องยนต์
ขนาด 1,700 ซีซี วีเทค เลฟ เครื่องยนต์ขนาด 1,700 ซีซี ฮอนดา ซีวิค มี 7 รุ่น ราคาตั้งแต่ 695,
000-861,000 บาท
โตโยตา ผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก หลังจากเงียบไปนาน กลับมาฮือฮาอีกครั้งกับการเปิดตัว โคโรล
ลา อัลทิส ตามสโลแกน "BREAK INTO STYLE" ที่พัฒนาใหม่หมดทั้งแนวคิด การออกแบบ เทคโนโลยี
การตลาด และการบริการ อัลทิส ใช้เครื่องยนต์ ZZ-FE VVT-I ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ TCCS ซึ่งเป็น
ระบบคอมพิวเตอร์ 16 บิ ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์แบบ
โตโยตา วาง โคโรลลา อัลทิส ไว้ทั้งหมด 7 รุ่น ไล่ระดับราคาตั้งแต่ 740,000-998,000 บาท การ
กำหนดราคาของ โคโรลลา ถือว่าน่าสนใจมากในเชิงการแข่งขัน โดยเฉพาะตัวทอพสุดที่นำมาต่อกรกับคู่
แข่งอย่าง ฮอนดา ซีวิค ตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งมาก โดย โตโยตา ได้ทำความเข้าใจกับลูกค้าว่า รุ่นทอพ
สุดเป็นรุ่นที่สร้างขึ้นมาแทนที่รถรุ่นพี่ที่ได้เลิกผลิตไปแล้ว นั่นคือ โคโรนา รวมทั้งการโฆษณาที่มีการดึงดารา
ฮอลลีวูด อย่าง แบรด พิทท์ มาเป็นพรีเซนเตอร์
บริษัท สยามกลการและนิสสันเซลส์ จำกัด เปิดตัว หัวหอกขนาด 1,600 ซีซี ซันนี นีโอ ได้ไม่นานก็ไม่รอ
ช้าส่งฝาแฝดจากตระกูล นีโอ มาเป็นตัวเลือกในระดับ 1,800 ซีซี กับเขาด้วย นั่นคือ ซันนี อัลเมรา
นิสสัน พยายามสร้างจุดเด่นของรถด้วยการนำเสนอความคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า โดยใส่อุปกรณ์อำนวยความ
สะดวกไว้เต็มพิกัด พร้อมทั้งวางระดับราคาที่ต่ำกว่าคูแข่ง โดยรุ่น เอสเอกซ์ 840,000 บาท และ รุ่น
ยัง 855,000 บาท
อัลเมรา ใช้เครื่องยนต์ใหม่ QG 18 DE แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบควบคุมเปิด-ปิด
วาล์ว อัตโนมัติ วีทีซี (VARIABLE TIMING CONTROL) เป็นที่น่าสังเกตว่า การเปิดตัวของทั้ง ซันนี
และ อัลเมรา นิสสัน จะชูจุดขายในเรื่องสมรรถนะของเครื่องยนต์เป็นหลัก โดยบอกว่าเครื่องยนต์รหัส
QG เป็นเครื่องยนต์ที่ออกแบบใหม่ ช่วยให้มลพิษลดลง ซึ่งจะส่งผลให้น้ำหนักเครื่องยนต์ลดลง และช่วยให้
ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น นิสสัน นับว่ามีจุดเด่นเรื่องราคา ที่ถือว่าได้เปรียบคู่แข่งที่สุดในขณะนี้
และไม่นานมานี้ บริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล จำกัด ก็ได้ส่ง มิตซูบิชิ เซดีอา ลงสู้ศึกกับรถเก๋งขนาดเครื่อง
ยนต์ 1,800 ซีซี ที่ได้รับการออกแบบตามแนวคิด COMPACT BODY WITH BIG CABIN ขยายตัวถังให้
ใหญ่ขึ้นจากรุ่นเดิม รวมไปถึงระบบตัวถังนิรภัย RISE BODY และระบบเกียร์อัตโนมัติ INVECS III CVT
นอกจากนี้ยังทุ่มงบประมาณอีกเป็นจำนวนมาก ในการเปิดตัว โดยนำนักร้องชื่อดัง จอห์น บอง โจวี มา
เป็นพรีเซนเตอร์อีกด้วย
3. ปฏิวัติเครื่องยนต์พิคอัพ
ตลาดรถพิคอัพในเมืองไทยเดิมใช้เครื่องยนต์เบนซินเป็นหลัก จนกระทั่งปี 2522 นิสสัน ก็ได้นำเครื่องยนต์
ดีเซลเข้ามาใช้เป็นรายแรก ในเวลาใกล้กัน อีซูซุ ก็ได้แนะนำเครื่องยนต์ดีเซลออกสู่ตลาดไทย และตาม
ด้วย โตโยตา หลังจากนั้นรถพิคอัพในไทยก็มีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง โดยเครื่องยนต์รถพิคอัพอยู่บนพื้น
ฐานของระบบการทำงาน 2 ระบบคือ ไดเรคท์อินเจคชัน กับ อินไดเรคท์อินเจคชัน ซึ่งรถที่ใช้ไดเรคท์อิน
เจคชันในอดีตที่ผ่านมามีเพียง อีซูซุ เท่านั้น ในขณะที่ นิสสัน สลับไปมาทั้งสองระบบ ส่วน โตโยตา นั้นใช้
แบบอินไดเรคท์อินเจคชันมาตลอด
พิคอัพเมืองไทยพลิกโฉมอีกครั้ง โดย นิสสัน ได้ทำการแนะนำเครื่องยนต์เทคโนโลยีใหม่ ขึ้นมาวางในรถ
พิคอัพ ฟรอนเทียร์ เครื่องยนต์ดีเซล ZD30DD ไดเรคท์อินเจคชัน แบบ 4 สูบ แถวเรียง ทวินแคม 16
วาล์ว ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ ความจุกระบอกสูบ 2,953 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 77 กิโลวัตต์ หรือ
105 แรงม้า ที่ 3,800 รตน. แรงบิดสูงสุด 209 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รตน. เครื่องยนต์ ZD
30DD เป็นดีเซล ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 วาล์ว/สูบ จำนวนวาล์วเท่ากับรถเก๋งทั่วไป เพื่อลด
ปัญหาของเครื่องยนต์ระบบเก่า นิสสัน ใหม่นี้จึงได้ชื่อว่าเป็น ดีเซลทวินแคม 16 วาล์ว เครื่องแรกของ
ไทย
ปัจจุบันแวดวงพิคอัพกำลังจับตามองเครื่องยนต์ตัวใหม่ของ โตโยตา ไทเกอร์ ที่นำเอาเทคโนโลยีการ
จ่ายน้ำมันด้วยปั๊มแรงดันสูงในเครื่องยนต์ดีเซล มาวางในรถพิคอัพ หรือที่เรียกกันว่า คอมมอนเรล
(COMMON RAIL) ซึ่งระบบนี้ถือว่าเป็นเทคโนโลยีล่าสุดของเครื่องยนต์ดีเซล
เครื่องยนต์ดีเซล 16 วาล์ว คอมมอนเรล ของ โตโยตา มีชื่อรหัสว่า 2KD-FTV มีพื้นฐานที่พัฒนาไปอีก
ขึ้นของเครื่องยนต์ดีเซล เพราะนอกจากจะลดจุดอ่อนของเครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิมลงไปแล้วยังพัฒนา
ระบบจ่ายเชื้อเพลิง ที่เรียกว่าแบบคอมมอนเรลขึ้นมา ซึ่งเทคโนโลยีนี้ทำให้ โตโยตา ลดขนาด
เครื่องยนต์ลงได้แต่มีสมรรถนะที่อยู่ในระดับเดียวกับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ และมีแนวโน้มว่ารถพิคอัพใน
อนาคตต้องมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีคอมมอนเรล
อย่างไรก็ตามเครื่องยนต์ที่ถือว่าได้รับความนิยมสูงสุดขณะนี้คงหนีไม่พ้น คือรุ่น 4JH1-T ซึ่งวางอยู่ใน
อีซูซุ ดรากอน เพาเวอร์
4. มาตรฐานภาษีใหม่
ระบบการจัดเก็บภาษีรถยนต์ในประเทศไทยนั้นยังมีช่องว่าง และข้อแตกต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัด ทำให้
ในบางโอกาส เกิดความเสียเปรียบ และได้เปรียบกันขึ้นระหว่างรถประเภทเดียวกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
รถตู้ที่มีขนาดที่นั่งตั้งแต่ 10 ที่นั่ง หากเป็นรถนำเข้าจะเสียภาษี 40 % แต่หากเป็นรถที่ประกอบในประเทศ
จะเสียภาษี 20 % ส่วนรถยนต์นั่ง ประกอบในประเทศเสียภาษี 33 % และนำเข้าสำเร็จรูป 80 % นอก
จากนี้ยังเสียภาษีสรรพสามิตเพิ่มอีก โดยในรถแต่ละประเภทนั้นจะต้องเสียภาษีตามขนาดของเครื่องยนต์
ซึ่งจะมีความแตกต่างลดหลั่นกัน โดยจะอยู่ในระหว่าง 35-48 %
ที่สำคัญความไม่ชัดเจนของอัตราภาษีรถยนต์ไทย โดยเฉพาะเรื่องการแยกประเภทของรถยนต์ คือ
รถยนต์นั่งกับรถโดยสารเป็นเหตุให้ผู้ซื้อที่ไม่ประสีประสากับเรื่องนี้ต้องจ่ายเงินเพิ่มโดยไม่รู้ตัวมานักต่อนัก
โดยการแบ่งประเภทรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง จะจัดอยู่ในประเภทรถยนต์นั่ง จะต้องเสียอากรขา
เข้า และภาษีสรรพสามิตแบ่งตามขนาดเครื่องยนต์ด้วย ภาษีมหาดไทย ภาษีมูลค่าเพิ่ม และอื่นๆ โดยคิด
ตามขนาดเครื่องยนต์ ส่วนรถยนต์โดยสารเกิน 11 ที่นั่งทุกชนิดสารเสียภาษีรวมทั้งสิ้น 50 % ส่วนรถตู้ทึบ
จัดอยู่ในประเภทรถบรรทุก จะต้องเสียภาษี 72 %
ส่วนภาษีรถดัดแปลงนั้น เดิมถ้าเป็นรถโดยสาร ต้องผ่านกรมขนส่งทางบก แต่เมื่อมีการดัดแปลงที่นั่งที่ไม่
ถึง 10 ที่นั่ง เมื่อไปผ่านกรมขนส่งทางบกนั้น ตามกำหนดเดิมจะต้องเสียภาษีดัดแปลงผ่านการจดทะเบียน
30,000 บาท แต่การทำเช่นนี้ไม่ค่อยสะดวกมากนักในด้านธุรกิจ คือ ต้องมาจดทะเบียนก่อน
ดังนั้นหากมองย้อนไปแล้วช่องว่างของระบบภาษีไทยในเรื่องของรถยนต์นั้นยังมีอีกมาก และลูกค้าที่ซื้อรถ
นั้นจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้ในเรื่องนี้ ดังนั้นหากจะซื้อรถที่มีลักษณะแตกต่างจากรถโดยทั่วไป หรือมีการ
ดัดแปลงจึงควรศึกษาให้แน่ชัดก่อนว่ารถที่จะซื้อนั้นเป็นประเภทใด เสียภาษีอย่างไรและเท่าไรก่อนตัดสิน
ใจ เพราะไม่เช่นนั้นหากมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องมาจ่ายเพิ่มในตอนหลังจากที่ซื้อรถไปแล้วก็จะทำให้เกิด
น้ำตาเช็ดหัวเข่าได้ง่ายๆ
5. กิจกมลสุโกศล เลิกขาย มาซดา
มาซดา ถือว่าเป็นรถที่มีอยู่ในตลาดในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน และได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้
บริโภค แต่เมื่อไม่นานมานี้ มาซดา ก็เข้ามาลงทุนเปิดโรงงานในประเทศไทย รวมถึงการเข้ามาเปิด
บริษัทดำเนินกิจการเอง ทำให้ตัวแทนจำหน่ายเดิม เป็นเพียงดีเลอร์เท่านั้น และเมื่อไม่นานมานี้ บริษัท
กิจกมลสุโกศล จำกัด ผู้ที่เป็นเหมือนโลโกของ มาซดา ได้ยกเลือกการเป็นตัวแทนจำหน่าย มาซดา เนื่อง
จากนโยบายการทำงานของสุโกศล ไม่สอดคล้องกับการบริหารงานของ บริษัท มาสด้า เซลส์
(ประเทศไทย) จำกัด โดยขณะนี้ บริษัทกิจกมลได้หันมาเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ เชฟโรเลต์ แทน
ด้วยการตั้ง บริษัท กมล พรอสเพค จำกัด ขึ้น เพื่อขายรถยนต์ เชฟโรเลต์ ในเขตกรุงเทพ ฯ โดยขณะ
นี้ได้เปิดโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการแล้ว 2 แห่ง
6. MOTOR EXPO ชื่อใหม่ ของ "มหกรรมยานยนต์"
เมื่อต้นปี 2544 คณะกรรมการจัดงานได้ลงมติเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษของงาน "มหกรรมยานยนต์" เป็น
"THAILAND INTERNATIONAL MOTOR EXPO 2001" โดยมีสาเหตุ 3 ประการคือ 1. ความหมาย
ของคำว่า "EXPO" ตรงกับความหมายของคำว่า "มหกรรม" มากที่สุด 2. ปีนี้จะมีการขยายงานให้ยิ่ง
ใหญ่ขึ้นโดยเพิ่มพื้นที่อีก 15,000 ตร.ม. บริเวณฮอลล์ 5 และ 3. ปีนี้ขอบข่ายของงานจะครอบคลุมถึง
อุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบ เพื่อให้ประชาชนได้เห็นศักยภาพที่แท้จริงของอุตสาหกรรมรถยนต์ในไทย
ว่ามีความสามารถที่นำเงินตราเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก
และนับว่างาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 18" ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-10 ธันวาคม 2544 เป็นงานที่ยิ่ง
ใหญ่อย่างมาก โดยมีรถยนต์เข้าร่วมงานถึง 32 ยี่ห้อ รวม 11 ประเทศ
7. มิตซูบิชิ ปรับโครงสร้าง
หลังจากเจรจากับผู้ร่วมทุนรายใหม่ คือ ไดมเลร์ ไครสเลอร์ ที่เข้ามาถือหุ้นใน มิตซูบิชิ เรียบร้อย
มิตซูบิชิ ก็ปรับโครงสร้างครั้งยิ่งใหญ่โดยใช้การบริหารแบบแบนราบ ที่เรียกว่า "FLAT" ลดขั้นตอนการ
บังคับบัญชาให้น้อยลง เน้นบทบาทผู้บริหารคนไทยอย่างเต็มที่
สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างในครั้งนี้จะมีการลดขั้นตอนการทำงานให้น้อยลง จากเดิม 7 ขั้นตอนเหลือ
เพียง 3 ขั้นตอนคือ 1. สำนักงาน กำกับดูแลโดยผู้อำนวยการใหญ่สำนัก รายงานตรงต่อกรรมการ ผู้จัด
การใหญ่ 2. ฝ่าย กำกับดูแลโดย ผู้อำนวยการฝ่าย รายงานตรงต่อ ผู้อำนวยการใหญ่สำนัก 3. ส่วน กำ
กับโดยผู้จัดการส่วน รายงานตรงต่อ ผู้อำนวยการฝ่าย ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะมีการบริหารจัดการโดยผู้จัด
การที่เป็นคนไทย ยกเว้นตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ด้านการเงิน
การปรับโครงสร้างการบริหารงานของ มิตซูบิชิ คราวนี้ถือว่าเป็นการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ที่เตรียมที่
จะรุกตลาดในไทยอย่างเต็มที่หลังจากที่เงียบหายไปในตลาด ซึ่งนอกจากการปรับการทำงานแล้ว มิตซูบิชิ
ยังมีการปรับเรื่องของสินค้าที่ทำตลาดมากขึ้นอีกด้วย
8. เฟียต เปิดตลาดในไทย
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เฟียต ออโต ประเทศ อิตาลี ตัดสินใจตั้งบริษัทในเครือขึ้นในประเทศไทยซึ่งถือว่าเป็น
ครั้งแรกของ เฟียต กรุพ ที่ตัดสินใจสยายปีกมายังภูมิภาคอาเซียนโดย บริษัท เฟียต ออโต้ (ประเทศ
ไทย) จำกัด จะดูแลในส่วนของนโยบายภาพรวมทั้งหมด รวมถึงเรื่องการผลิต และการส่งออก ซึ่งวาง
แผนไว้ว่าจะส่งออกไปยัง 5 ประเทศในช่วงแรก คือ บรูไน ฮ่องกง มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ
สิงคโปร์ สำหรับบริษัท ไทยเพรสทีจ โอโต เซลส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ พีเอนเอ กรุพ จะดูแล
ในส่วนของตลาดในประเทศและควบคุมดีเลอร์ทั้งหมด ซึ่งในอนาคตจะมีดีเลอร์รายใหม่เกิดขึ้นอีก
การเปิดตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ จะเริ่มต้นด้วยการผลิตรถอัลฟา 156 ในช่วงเดือนมีนาคม 2545 ที่
โรงงานจีเอม หลังจากนั้นก็จะผลิตอีก 1 รุ่น คือ 156 สปอร์ทแวกอน และจะมีการนำเข้ารุ่น 166/147
ทั้งแบบ 3 ประตูและ 5 ประตู รวมถึง จีทีวี สไปเดอร์ แต่ต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนเป้าหมายใน
การทำตลาดปีแรก จะผลิตรถทั้งสิ้นประมาณ 4,000 คัน โดยแบ่งเป็นขายในประเทศร้อยละ 50 และส่ง
ออกอีกร้อยละ 50
อย่างไรก็ตาม เฟียต กรุพ นับว่ามีรถหลายยี่ห้อและเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น เฟียต อัลฟา
โรเมโอ และ ลันชา โดยเฉพาะรถเล็กที่คนไทยรู้จักดีในยี่ห้อ เฟียต แต่ในช่วงแรกเลือกทำการตลาด
อัลฟา ก่อนเพราะเห็นว่า อัลฟา เหมาะสมที่สุดในขณะนี้ ในอนาคตหากประเทศไทยพร้อมที่จะรับรถในรถ
อย่าง ลันชา หรือ เฟียต บริษัทก็มีความพร้อมที่จะนำเข้ามาทำตลาด
9. แลนด์ โรเวอร์ เปิดบริษัทใหม่
แลนด์ โรเวอร์ เงียบหายไปจากตลาดของไทยระยะหนึ่ง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของบริษัทแม่ในต่าง
ประเทศ แต่หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว ก็ประกาศเปิดตัวรุกตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มที่ด้วยการเปิดบริษัท
แลนด์ โรเวอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมส่ง ฟรีแลนเดอร์ ซีเคดี เป็นหัวหอก
แลนด์โรเวอร์ ประเทศไทย ถือเป็นบริษัทในเครือของ ฟอร์ด มอเตอร์ สหรัฐอเมริกา โดยประกอบรถ
ฟรีแลนเดอร์ ที่ สวีดิช แอสเซมบลีย์ ซึ่งเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ โวลโว ตั้งเป้ายอดขายจนถึงสิ้นปี
2545 จำนวน 600 คัน
แลนด์ โรเวอร์ ได้เตรียมงบประมาณไว้ 500 ล้านบาท สำหรับการดำเนินงานในช่วง 2 ปีแรก ซึ่งจะ
ใช้ในส่วนโรงงานและวางระบบออนไลน์เนทเวิร์คในด้านบริการหลังการขาย การสตอคสินค้า และ
อะไหล่ การขยายช่องทางการจำหน่าย กิจกรรมการตลาดและประชาสัมพันธ์ ส่วนในด้านการจัดจำหน่าย
นั้นได้แต่งตั้งให้ บริษัท ไทยอัลติเมทคาร์ จำกัด เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการเพียงผู้เดียวในประเทศ
ไทย
10. วงการรถยนต์สูญเสีย ดร. ถาวร พรประภา และ อรรถพร ลีนุตพงษ์
วงการรถยนต์ไทยได้สูญเสียบุคคลสำคัญระดับ "อัจฉริยะ" ที่เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจค้ารถยนต์ในเมืองไทย ถึง
2 คน นั่นคือ อรรถพร ลีนุตพงษ์ หรือ "เสี่ยเซี้ยะ" ผู้ก่อตั้งอาณาจักร ยนตรกิจ ซึ่งปัจจุบันเป็นตัวแทน
จำหน่ายรถยนต์ชั้นนำถึง 9 ยี่ห้อ ได้แก่ โรลล์ส-รอยศ์/เบนท์ลีย์/เอาดี/โฟล์คสวาเกน/เซอัต/สโกดา/
เปอโฌต์/ซีตรอง และเกีย รวมทั้งเป็นเจ้าของโรงงานประกอบรถยนต์ "วายเอ็มซีแอสเซ็มบลี"
อรรถพร ลีนุตพงษ์ อายุ 76 ปี เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน พศ. 2468 ที่กรุงเทพมหานคร มีบุตรธิดา
รวม 13 คน เริ่มดำเนินกิจการขายอะไหล่ชิ้นส่วนรถยนต์เก่าแทนบิดาตั้งแต่อายุเพียง 16 ปี และได้
ขยายกิจการมาอย่างต่อเนื่อง ในปี 2492 เริ่มทำธุรกิจรถยนต์เหลือใช้จากสงครามประเภทรถ จีพ โดย
นำเข้าจากประเทศ อังกฤษ/ฮอลแลนด์/อิตาลี และสิงคโปร์ แล้วนำมาปรับปรุงสภาพใหม่ เพื่อจำหน่าย
โดยทำเลถนนรองเมืองซอย 5 เป็นสถานประกอบการ
สำหรับอีกท่านหนึ่งที่วงการสูญเสียไป คือ ดร. ถาวร พรประภา ประธานกิตติมศักดิ์ ผู้ก่อตั้ง บริษัท
สยามกลการ จำกัด และบริษัทในเครือ ปูชนียบุคคล และผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ดร. ถาวร
เริ่มก่อร่างสร้างตัวจากธุรกิจการค้าเล็กๆ ที่บิดาเป็นผู้ก่อตั้งเมื่อปี 2450 จนถึงวันนี้ ความยิ่งใหญ่ของ
บริษัท สยามกลการ จำกัด ที่พร้อมก้าวไปสู่การเป็นกลุ่มบริษัทชั้นนำของประเทศ ที่มีเครือข่ายหลากหลาย
ครอบคลุมธุรกิจยานยนต์ทั้งหมด คือบทพิสูจน์ถึงฝีมือและอัจฉริยภาพของท่านได้เป็นอย่างดี
ดร. ถาวร พรประภา ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2544 รวมอายุได้ 85 ปี มีบุตร-ธิดา
รวม 13 คนOPT 1.50
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มกราคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/120