ผลทดสอบ
ยานยนต์อนาคต
รถไฮบริด คือ อีกแนวทางหนึ่งของรถแห่งอนาคต โดยการผสมผสานแหล่งพลังขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า
กับเครื่องยนต์สันดาปภายในได้อย่างเหมาะเจาะ ซึ่งในขณะนี้ทางค่าย โตโยตา ได้ผลิต ปรีอุส (PRIUS)
เป็นอีกรุ่นหนึ่งของรถไฮบริด ที่จะทำการผลิตเพื่อการพาณิชย์
และนี่เป็นอีกการทดสอบหนึ่งที่จะพิสูจน์ความยอดเยี่ยมของ ปรีอุส หัวหอกของรถไฮบริด
และแนวโน้มของมันในอนาคต
ทุกวันนี้รถยนต์นั่งส่วนใหญ่ หรือเกือบทั้งหมด ยังใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในทั้งสิ้น
แต่เนื่องจากปัญหาขาดแคลนพลังงานที่นับวันจะรุนแรงมากขึ้นทุกที
ทำให้กลุ่มผู้ผลิตรถในปัจจุบันหาทางออกด้วยการหาแหล่งพลังงานใหม่ให้กับรถในอนาคต ที่สำคัญคือ
ต้องขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แนวทางแรกคือ FCEV (FUEL CELL ELECTRIC VEHICLES)
รถขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากเซลล์เชื้อเพลิง, EV (ELECTRIC VEHICLES) รถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
และรถไฮบริด ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ร่วมกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน
ปัจจุบันรถไฮบริด คือรถที่ได้รับความนิยมสูงสุด และมีความเป็นไปได้ที่จะรับความนิยมผลิตออกมา
และได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากที่สุด
โตโยตา ปรีอุส โมเดลล่าสุดจะเป็นอีกรุ่นของ เอสยูวี ไฮบริด ที่จะผลิตออกขายในเร็ววันนี้ เดิม
โตโยตา ปรีอุส เปิดตัวครั้งแรกด้วยรุ่น 1CM ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2543 และในขณะนี้ได้ทำ
โมเดลเชนจ์ เป็นรุ่น 2CM โดยมีกำลังสูงสุดมากขึ้นจาก 30 กิโลวัตต์ เป็น 33 กิโลวัตต์ (44.8 แรงม้า)
และแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 305 นิวตันเมตร เป็น 350 นิวตันเมตร (35.6 กก.-ม.)
การขับขี่ โตโยตา ปรีอุส ไฮบริด บนสภาพพื้นผิวธรรมดา
เป็นประสบการณ์ใหม่ด้วยการใช้พลังขับเคลื่อนจากพลังไฟฟ้า ที่เงียบ และสะอาด
ตั้งแต่จุดหยุดนิ่งเร่งจนถึงระดับความเร็ว 40 กม./ชม. เครื่องยนต์ยังไม่ทำงาน
จึงทำให้เกิดคำถามว่าแล้วเครื่องยนต์จะเริ่มทำงานที่ระดับความเร็วไหน หรือในลักษณะการขับขี่อย่างไร ?
หากในอนาคตมอเตอร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถขับเคลื่อนในระดับความเร็วเกินกว่า 30 กม./ชม.
โดยไม่มีปัญหาแล้ว อาจทำให้เกิดเอสยูวี ไฮบริด อีกสายพันธุ์ใหม่ขึ้น โดยเฉพาะในสภาพเส้นทางวิบาก
ที่มอเตอร์ให้แรงบิดที่ราบเรียบ และสม่ำเสมอที่ความเร็วต่ำดีกว่าเครื่องยนต์สันดาป
ภายในเสียอีก
การใช้งานบนเส้นทางปกติ ปรีอุส ไฮบริด สามารถตอบสนองการใช้งานได้เกินความคาดหมาย
โดยเฉพาะการวิ่งขึ้นเนินที่มีสภาพความลาดชันสูง ปรีอุส ไฮบริด
สามารถวิ่งขึ้นได้อย่างราบรื่นโดยใช้พลังจากมอเตอร์เพียงอย่างเดียว
ในขณะเหยียบเบรคยังให้ความรู้สึกที่แปลก แต่คาดว่าปัญหานี้คงจะถูกแก้ไข
เพียงทำการปรับระบบไฟฟ้าที่ระบบเบรคเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คาดว่าในอนาคต รถแบบไฮบริด สามารถปรับปรุงจนสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนหรือการเบรค
อาจทำให้เกิด ไฮบริด สายพันธุ์ เอสยูวี ขึ้นในอนาคต และต้องเป็นที่ต้องการอย่างมากในท้องตลาดอย่างแน่นอน
บรรยายภาพ
1. เมื่อมีคำว่า READY แสดงจอเกจวัด แสดงว่ารถพร้อมจะใช้งานแล้ว
2. ยางติดรถเป็นยางแรงเสียดทานต่ำ ประหยัดพลังงาน และล้อเป็นอลูมิเนียมน้ำหนักเบา
3. สำหรับคันนี้มีระบบควบคุมความเร็วเดินทางด้วย (AUTO CRUISE SYSTEM)
ล้อมกรอบ B
รูปแบบของรถไฮบริด
รถไฮบริด มีระบบการขับเคลื่อนในรูปแบบที่ผสมผสานกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปภายใน
และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วมันมีความเป็นไปได้สูงที่สุด สำหรับการผลิตรถที่ใช้
พลังขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้า แต่อย่างไรระบบขับเคลื่อนของรถไฮบริดยังสามารถแบ่งออกเป็น
4. SERIES HYBRID
ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำหน้าที่หมุนเครื่องกำเนิดพลังงานไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้า ทำหน้าที่
ขับเคลื่อน
5. PARALLEL HYBRID
ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ทำหน้าที่ขับเคลื่อน มอเตอร์ไฟฟ้าช่วยการขับเคลื่อน
6. PARALLEL SERIES HYBRID
ทั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อน แต่มีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับลักษณะ
การใช้งาน และโหลด
7. การออกแบบภายในทันสมัย และเรียบง่าย กระจกบานใหญ่รอบข้างให้ความรู้สึกสบาย ไม่อึดอัด
8. พัฒนาการของ ELECTRIC VEHICLE
- TOYOTA FCHV-4 ค่าย โตโยตา เป็นหัวหอกของการพัฒนาใช้ระบบขับเคลื่อนจากพลังงาน
FUEL CELL จากไฮโดรเจนบริสุทธิ์ ขณะนี้การตัวต้นแบบพัฒนามาถึงรุ่น FCHV-4
และ FCHV-5 แล้ว
- NISSAN MARCH 4WD รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นมากมาย
สำหรับ นิสสัน มาร์ช ตัวนี้ จะใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าทำหน้าที่ขับเคลื่อนใน
ล้อหน้า และเครื่องยนต์สันดาปภายในขับเคลื่อนล้อหลัง
- CHRO-Q "QI" แม้แต่ค่ายผลิตของเล่น TAKARA ก็ผลิตรถไฟฟ้าที่นั่งเดี่ยวออกมา โดยมี
ระบบขับเคลี่อนไฟฟ้าอย่างเดียว และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 60 กม./ชม.
ล้อมกรอบ C หน้า 44
จอแสดงการจ่ายพลังขับเคลื่อน
ภาพที่ 1 "หยุด" สำหรับระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ในจังหวะ N และ P ทั้งมอเตอร์
และเครื่องยนต์ยังไม่มีการทำงาน
ภาพที่ 2 "ออกตัว" ใช้พลังในการขับเคลื่อน จากมอเตอร์ ในระยะแรกจนถึงระดับความเร็วสูง
ภาพที่ 3 "เครื่องยนต์ทำงานเพื่อเพิ่มพลังขับเคลื่อน" เมื่อรถต้องการใช้ความเร็วสูงขึ้น
เครื่องยนต์ทำงานเพื่อจ่ายพลังไฟฟ้าเพิ่มสำหรับการขับเคลื่อนในระดับความเร็วสูง
ภาพที่ 4 "ใช้แรงต้านเบรคในการป้อนพลังไฟกลับไปยังแบทเตอรี" เมื่อยกเท้าออกจากคันเร่ง
จะใช้แรงต้านการหมุนจากล้อทำหน้าที่หมุน "เจเนอเรเตอร์"
เพื่อจ่ายพลังงานไฟฟ้ากลับไปยังแบทเตอรีอีกครั้ง
ในที่สุดก็คือ EV
แม้ว่าจะถูกเรียกว่า ไฮบริด เพราะมีระบบขับเคลื่อนที่ผสมผสานกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาป
ภายในกับมอเตอร์ก็ตาม แต่ในที่สุดแล้วรูปแบบการขับเคลื่อนของรถชนิดนี้ จะใช้ระบบการ
ขับเคลื่อนแบบ EV ด้วยกันทั้งสิ้น
9. "จอแสดงระดับพลังงาน" นอกจากจะแสดงระดับพลังงานที่เหลืออยู่แล้ว สำหรับรถประเภทนี้
จะแสดงถึงระดับความสิ้นเปลืองพลังงาน และระดับของพลังงานไฟฟ้า ที่ถูกจ่ายกลับไปสู่
แบทเตอรี
10. THS CHARGER
11. แบทเตอรี นิคเกิลไฮโดรเจน
12. บเรเกอร์ทนแรงดันไฟฟ้าสูงที่ติดตั้งในห้องเก็บสัมภาระหลัง
13. INVERTER รับกระแสไฟ DC จากแบทเตอรี และกระแสไฟ AC ที่เครื่องยนต์หมุน
เจเนอเรเตอร์ และทำหน้าที่ป้อนพลังไฟไปยังแหล่งต่างๆ ตามความเหมาะสม
14. เครื่องยนต์ทำหน้าที่ขับเคลื่อนมอเตอร์ผ่าน PLANETARY GEAR
15. ช่องรับลมภายในตัวรถ ทำหน้าที่ระบายความร้อนให้กับแบทเตอรี จากนั้นก็ถูกระบาย
ออกไปจากตัวรถ
เรื่องโดย : อกนิษฐ์ ทัพภะสุต
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2545
คอลัมน์ Online : ผลทดสอบ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/11822