ทั่วไป
-
ปีพุทธศักราช 2500 เป็นปีที่รัฐบาลเฉลิมฉลองกึ่งพุทธกาล เพราะเชื่อว่าพุทธศาสนาหรือคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีอายุ 5 พันปี ตรงกับคริสต์ศักราชปลายทศวรรษ 50 ขึ้นสู่ทศวรรษ 60
อันเป็นยุคสมัยที่ฮอลลีวูดพลิกตัวเองอย่างแรง
วงการภาพยนตร์อเมริกันแต่แรกนั้น อำนาจทั้งหลายขึ้นอยู่กับสตูดิโอ อิทธิพลของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็อยู่ในมือของผู้บริหารสตูดิโอ คนทำหนังไม่มีน้ำยาอะไรเลย
ทศวรรษที่ 60 (ประมาณ 60 ปีนับจากกำเนิดภาพยนตร์) ถือได้ว่าเป็นรอยต่อระหว่างความเก่าและความคิดใหม่-ทำใหม่ พลังแห่งอำนาจที่สตูดิโอเคยยึดครองก็ถึงสัจธรรมที่ว่า ไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้า
ประกอบกับการเสียชีวิตของผู้กุมอำนาจ ทั้งผู้บริหารโรงถ่าย ผู้กำกับการแสดง และดาราดัง เช่น คลาร์ค เกเบิล, มาริลีน มอนโร, จูดี การ์แลนด์, บัสเตอร์ คีทัน
คนที่อยู่แต่เบื้องหลังของความสำเร็จก็พากันล้มตายไปอย่าง ไมค์ เคอร์ทิส, เจอร์รี วัลด์,
เดวิด เซลส์นิค, รอเบิร์ท รอสเซน รวมไปถึงผู้บริหารถ้าไม่เสียชีวิตก็จะถือโอกาสรีไทร์ โดย หลุยส์ บี แมร์ กับ แฮรี โคห์น สองเจ้าพ่อของยุค '40 (ทศวรรษที่ 40) นัดกันตาย เป็นผลให้ แจค วอร์เนอร์
ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมลดอำนาจบาทใหญ่ลง ขณะที่ ดาร์ริล เอฟ ซานุค ผงาดขึ้นเต็มตัวในฐานะผู้บริหารสูงสุดของ ทเวนที เซนจูรี ฟอกซ์
เสียงของซานุค ดังแบบเซอร์ราวนด์ก็อีตอนที่เขาทำหนังใหญ่เรื่อง "วันเผด็จศึก" (THE
LONGEST DAY) ในปี 1962 แล้วพบความสำเร็จคือไม่เจ๊ง แต่ ดาร์ริล เอฟ ซานุค ก็ไม่ใช่ทองแท้ของฮอลลีวูด เพราะครองอำนาจได้เพียงทศวรรษเดียว
เมื่อความเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนไปเช่นนี้ สัญชาตญาณของมนุษย์ก็เริ่มแสดงให้เห็น สิ่งนั้นคือการดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด หลายโรงถ่ายพยายามหาทางออก เป็นต้นว่า ยูนิเวอร์แซล เริ่มไปเน้นหนังทีวีและธุรกิจท่องเที่ยว บริษัทภาพยนตร์ พาราเมาท์ ถึงกับขายกิจการให้กับ กัลฟ์ แอนด์ เวสเทิร์น เช่นเดียวกับ วอร์เนอร์ บราเธอร์ส ควบกิจการเข้ากับ คินนีย์ กรุพ
และยูไนเทด อาร์ทิสต์ หรือ UA ก็ถูก TRANSAMERICA CORP. ซื้อไปเรียบร้อย
มหากาพย์ยิ่งใหญ่ในโลกภาพยนตร์ของทศวรรษที่ 60 มีเรื่องเดียว คือต้องยกให้กับหนังของทเวนที เซนจูรี ฟอกซ์ เรื่อง "คลีโอพัตรา" (CLEOPATRA) มีการลงทุนสูงถึง 40 ล้านดอลลาร์
แต่การออกฉายของภาพยนตร์เรื่องนี้ กลับสร้างความผิดหวังขาดทุนย่อยยับ เป็นผลให้ทเวนที เซนจูรี ฟอกซ์ ประสบปัญหาทางการเงิน
"คลีโอพัตรา" อาจเป็นเรื่องเล่าขานแบบเดิมๆ อาจเป็นแค่ลิเกเรื่องหนึ่ง แต่ฮอลลีวูดก็ยังผลิตหนังที่เป็น
ความคิดของคนรุ่นใหม่ได้อย่างชัดเจน เช่น THE GRADUATE (1967) ของ ไมค์ นิคอลส์
และ BONNIE AND CLYDE (1967) ของอา เธอร์ เพนน์
สองเรื่องนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวของคนหนุ่มคนสาว ด้วยวิธีการพรีเซนท์ใหม่แบบนี้แหละจึงแลดู
เหมือนมันคือ ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ตัวแทนในด้านความรู้สึกใหม่ๆ ของบรรดาคนดูหนังวัยรุ่น
อุตสาหกรรมภาพยนตร์แม้ไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว แต่ก็เชื่อกันว่า คนดูหนังที่เป็นหลักของรายได้นั้นจะอยู่ในระหว่างอายุ 18-25 ปีเท่านั้น
ในปีเดียวกัน (1967) ผลการตัดสินตุ๊กตาทองให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้ถูกยกให้กับเรื่อง IN THE
HEAT OF THE NIGHT อย่างเป็นเอกฉันท์ พร้อมกับคว้ารางวัลไปอีก 4 สาขา รวมทั้งสาขาพระเอกยอดเยี่ยมคือ ซิดนีย์ พอยเทียร์ ผู้แสดงเป็น เวอร์จิล ทิบบ์ส นายตำรวจแผนกคดีฆาตกรรมจากฟิลาเดเฟีย, บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมคือ สเตอร์ลิง ซิลลิฟานท์
ซิดนีย์ พอยเทียร์ เป็นนักแสดงผิวดำไม่ธรรมดา เป็นผู้ชายมีเสน่ห์ และอเมริกายุคนั้นปัญหาการแบ่งแยกสีผิวของคนโลกเดียวกันประเทศเดียวกันยังคาราคาซังอยู่ต่อเนื่อง แต่ด้วยการแสดงของ
ซิดนีย์ พอยเทียร์ สามารถทำให้เกิดความนิยมอย่างสูงในหมู่คนดูไม่เลือกผิวสี ทั้งอีกสองเรื่องของเขาคือ GUESS WHO'S COMING TO DINNER และ "แด่คุณครูด้วยดวงใจ" (TO SIR WITH LOVE) ก็มีเปอร์เซนต์แห่งความสำเร็จไม่แพ้กัน
การนำเสนอเช่นที่ว่านี้พลิกผันให้ฮอลลีวูดทะยานสู่ความสำเร็จ สามารถครองความเป็นใหญ่ของโลก
ภาพยนตร์แบบไม่มีวันยอมแพ้ ในทศวรรษเดียวกันผมยังติดตาติดใจความสำเร็จของหนังอีกหลายเรื่อง
เช่น WEST SIDE STORY (1961) ภาพยนตร์ที่บันดาลใจมาจากบทละครเชคสเปียร์ โรเมโอ แอนด์ จูเลียต ได้รับรางวัลออสการ์ไป 10 สาขา ต่อด้วย LAWRENCE OF ARABIA (1962) TOM JONES (1963) MY FAIR LADY (1964) THE SOUND OF MUSIC (1965) OLIVER ! (1968)
ขณะเดียวกันการนำเสนอภาพยนตร์ในรูปแบบเก่า จากคนทำหนังที่ยังเชื่อในความคิดของตนเองก็ยังมีอยู่ และก็ยังได้รับความสนใจจากผู้ดูด้วยเนื้อหาเต็มร้อย เหตุการณ์ไม่อืดอาด เร้าอารมณ์ความรู้สึกและเน้นความบันเทิงอย่าง HOW THE WEST WAS WON (1962) ภาพยนตร์ที่นำเสนอ ซีเนรามา มิติใหม่ของการถ่ายทำและการฉายซึ่งต้องฉายพร้อมกันสามเครื่องฉาย
อัลฟเรด ฮิทช์คอค ผู้ได้ฉายาเป็นเจ้าแห่งความตื่นเต้นนำเสนอรูปแบบเก่าด้วยเรื่อง THE
BIRDS (1963) เป็นหนังที่แสดงให้เห็นถึง ฮิทช์คอค อยู่ในระหว่างขาลง
และทศวรรษกึ่งพุทธกาลนี้เอง คณะกรรมการผู้รับผิดชอบโดยตรงกับการจัดระดับหนังคือ THE CODE AND RATING ADMINISTRATION: CARA ก่อตั้งในปี 1968 ได้กำหนดจัดระดับหนังขึ้นดังนี้
G: GENERAL AUDIENCE, M: MATURE AUDIENCE, R: RESTRICTED และ X ซึ่งไม่ได้ย่อมาจาก
คำอะไรเลย เพียงแต่บอกว่าห้ามคนดูที่อายุต่ำกว่า 21 ปี
การจัดระดับหนังได้มีการเปลี่ยนแปลงมาตลอด แต่ความดีงามในด้านนี้ผมยกให้กับ แจค วาเลนที
คนผู้นี้เดิมทีเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้กับประธานาธิบดี ลินดอน จอห์นสัน และต่อมาได้รับ
แต่งตั้งเป็น ประธานสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งอเมริกา (MOTION PICTURE ASSOCIATION OF AMERICA)
เรื่องโดย : จอสยาม
นิตยสาร Carstereo ฉบับเดือน กันยายน ปี 2547
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/10186